รุกกลับ!! "ธัมมชโย" ส่งทนายร้องขอความเป็นธรรม ระบุดีเอสไอตั้งข้อหาไม่ชอบด้วยกม. เหตุคดีมูลฐานยังไม่มีข้อยุติ

ติดตามข่าวเพิ่มได้ที่ www.tnews.co.th

วันนี้ ( 14 พ.ย.)   นายสมชาย  มีบางยาง ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากพระธัมมชโย  เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย   เดพินทางเข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกรณีการดำเนินคดีกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นที่เชื่อมโยงกับพระธัมมชโย  โดยมีนายพันธุ์โชติ   บุญศิริ  อัยการพิเศษฝ่ายสอบสวน 1 ในฐานะคณะโฆษกอัยการสูงสุด เป็นผู้รับเรื่อง   โดยนายสมชาย    กล่าวถึงกรณีที่พระธัมมชโยถูกพนักงานสอบสวนดีเอสไอแจ้งข้อหาร่วมกันฟอกเงินและรับของโจรเป็นคดีพิเศษที่ 27/2559 และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการว่า  กรณีดังกล่าวมีประเด็นที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประเด็นที่ต้องการร้องขอให้อัยการให้ความเป็นธรรมในการพิจารณาข้อกฎหมายอย่างครบถ้วน และให้มีการสั่งสอบพยานเพิ่มเติมเพื่อความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา
         

สำหรับประเด็นที่ยื่นร้องขอความเป็นธรรมไปนั้น  เนื่องจากพระธัมมชโยตั้งข้อสังเกตว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้อัยการตรวจสอบประกอบด้วย   1. กรณีการตั้งข้อหาในคดีพิเศษ 63/2557  ซึ่งดีเอสไอตั้งข้อหานายศุภชัย ศรีศุภอักษร  อดีตประธานสหกรณ์ฯกับพวกฐานฉ้อโกงประชาชน    ย่อมแสดงให้เห็นว่าเงินดังกล่าวไม่ใช่เงินของสหกรณ์     เพราะเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด    เป็นเงินของกลางในคดีอาญา  ซึ่งจะต้องคืนให้ประชาชนผู้เสียหาย    2. คดีพิเศษที่ 146/2556 ดีเอสไอตั้งข้อหานายศุภชัยกับพวกว่าลักทรัพย์นายจ้าง  แสดงว่าเงินเป็นของสหกรณ์   ซึ่งเป็นนายจ้างของศุภชัย

3. ในคดีพิเศษที่ 146/2556  จะเห็นว่าเจ้าของทรัพย์คดีดังกล่าวคือสหกรณ์  ส่วนเจ้าของทรัพย์คดีพิเศษที่ 63/2557  คือประชาชนผู้ถูกนายศุภชัยหลอกลวง  ซึ่งเป็นคนละคนกัน ทั้งที่เป็นทรัพย์จำนวนเดียวกัน  การดำเนินคดีทั้ง 2 คดี  จึงมีความขัดแย้งกัน  เป็นการตั้งข้อหาที่ซ้ำซ้อนและขัดแย้งกันเอง    4. คดีฟอกเงินในคดีพิเศษที่ 27/2559   ตั้งข้อหาจากคดีมูลฐานคือฉ้อโกงประชาชน  แต่คดีดังกล่าวยังไม่เป็นที่ยุติว่านายศุภชัยกระทำผิดตามข้อกล่าวหา   ดังนั้นการที่พนักงานสอบสวนเร่งรัดตั้งข้อกล่าวหากับพระธัมมชโยฐานร่วมกันฟอกเงินและรับของโจรจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  และ  5.  ยังมีพยานปากสำคัญอีกนับ 10 ราย  ที่พนักงานสอบสวนยังไม่สอบปากคำ  ถือว่าการสอบสวนยังไม่สมบูรณ์