สำนึกจริง..หรืออ้างมั่ว!! "ตู่ จตุพร"นอนคุกต่อ ศาลยกคำร้องวืดประกันรอบ3 อ้างเริ่ดสำนึกผิด-ขอไปกราบพระบรมศพ

ติดตามข่าวเพิ่มได้ที่ www.tnews.co.th

วันนี้ (17 พ.ย.)  ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก  เมื่อเวลา 13.00 น.  นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. จำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขดำ อ.2542/2553  ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ซึ่งอัยการโจทก์ได้ยื่นคำร้องเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว และ ศาลอาญามีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ที่ผ่าน ได้เดินทางมายื่นคำร้องเพื่อขอปล่อยชั่วคราวนายจตุพร จำเลยที่ 2 ต่อศาลอาญา เป็นครั้งที่ 3
         

คำร้องขอปล่อยชั่วคราวครั้งนี้  สรุปว่า คดีนี้ศาลนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 18 มกราคม 60  ผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดี มีความประสงค์ขอให้ศาลปล่อยชั่วคราว โดยมีเหตุผลว่าเดิมศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2  โดยมีเงื่อนไขห้ามกระทำการใดมีลักษณะเป็นการดูหมิ่น ยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่ออันตรายกระทบเกียรติยศชื่อเสียง ความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมาย  ซึ่งกรณีที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว  จำเลยที่ 2 ได้ยอมรับข้อเท็จจริงต่อศาล และศาลไม่ต้องไต่สวนคำร้องโจทก์  และได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2  แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้บิดพลิ้วในการให้การต่อศาลตามข้อเท็จจริง และจำเลยที่ 2 ก็ยอมรับคำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว  แต่คดีนี้มีการนัดสืบพยานอีกหลายปาก  ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วเสร็จ  ซึ่งโจทก์ฟ้องคดีตั้งแต่ปี 2553  จนปัจจุบันยังสืบพยานโจทก์ได้ไม่มาก  จึงเห็นได้ว่าคดีไม่อาจพิจารณาเสร็จได้ในเร็ววัน  และใช้เวลาอีกนาน  ซึ่งคดีนี้ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวมาแล้วก็ไม่มีเหตุสงสัยว่าจำเลยจะหลบหนีหรือไม่  และจำเลยก็ไม่เคยผิดนัดศาล คงมีประเด็นเดียวที่ต้องพิจารณาว่าจำเลยที่ 2 จะปฏิบัติตนผิดเงื่อนไขตามที่ศาลกำหนดอีกหรือไม่    

 

จำเลยที่ 2 เห็นว่า คำสั่งเพิกถอนสัญญาประกันมีลักษณะเดียวกันกับการลงโทษจำเลยที่ฝ่าฝืนคำสั่งศาล  ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลได้ จำเลยที่ 2 จึงขอเรียนว่านับแต่ศาลเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวถึงวันนี้เป็นเวลานานกว่า 1 เดือนแล้ว  จึงเห็นว่าเป็นเวลานานพอสมควรกับการลงโทษจำเลยที่พูดจาอันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งศาลแล้ว  ซึ่งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา  ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาลงโทษนางสุดสงวน สุธีสร จำเลยคดีละเมิดอำนาจจากกรณีชูป้ายวางพวงหรีดที่ศาลแพ่งเป็นเวลา 1 เดือน  ซึ่งจำเลยเห็นว่าการเพิกถอนสัญญาประกันของจำเลยที่ 2 มีลักษณะเดียวกับการลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล  โทษคุมขังจึงน่าจะพอสมควรแก่การกระทำที่ผิดพลาดจากการกระทำฝ่าฝืนเงื่อนไขของศาล  จึงเป็นเหตุสมควรที่จะให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 ในระหว่างพิจารณาอีกสักครั้ง  

 

อีกทั้งพฤติการณ์กับสถานการณ์บ้านเมืองก่อนและหลังศาลเพิกถอนสัญญาประกันมีสถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนไป  ซึ่งเมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสร็จสวรรคต นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจ  ต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวต่างชาติ  รัฐบาลได้ประกาศไว้ทุกข์เพื่อถวายความอาลัย  จำเลยที่ 2 มีความตั้งมั่นที่จะขอโอกาสในวาระเช่นนี้ไปแสดงความอาลัยและเข้ากราบพระบรมศพอย่างที่พสกนิกรทุกคนควรจะทำ  ประกอบกับประเทศไทยอยู่ในช่วงแห่งความอาลัย ประชาชาทุกหมู่เหล่าต่างตระหนักในการสร้างความรักสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้น ไม่มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มใด และเชื่อว่าไม่มีประชาชนคนใดจะสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง จำเลยที่ 2 ขอให้คำมั่นต่อศาลว่าจะไม่กระทำการใดๆ  อันมีลักษณะเป็นการดูหมิ่นผู้อื่น หรือยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่ออันตรายกระทบเกียรติยศชื่อเสียง และความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมาย หรือเงื่อนไขใดๆ ตามที่ศาลกำหนด จำเลยที่ 2 รู้สำนึกในการกระทำฝ่าฝืนคำสั่งศาลแล้ว จึงขอโอกาสในการได้รับการปล่อยชั่วคราวอีกสักครั้ง
         

ต่อมาในเวลา 15.20 น.ศาลอาญาได้มีคำสั่งให้ยกคำร้องของนายจตุพร โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าในชั้นนี้ยังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม โดยให้แจ้งคำสั่งศาลให้นายจตุพร จำเลยที่ 2 ทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว


ด้านนายวิญญัติ   กล่าวว่า ทางทีมทนายจะเก็บข้อมูลทั้งหมดไปศึกษาเพื่อหาเหตุผลใหม่ในการยื่นขอประกันตัว ครั้งที่ 4 ในสัปดาห์หน้า ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าศาลจะเมตตา