- 17 พ.ย. 2559
ติดตามข่าวเพิ่มได้ที่ www.tnews.co.th
วันนี้ (17 พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 13.00 น. นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. จำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขดำ อ.2542/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ซึ่งอัยการโจทก์ได้ยื่นคำร้องเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว และ ศาลอาญามีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ที่ผ่าน ได้เดินทางมายื่นคำร้องเพื่อขอปล่อยชั่วคราวนายจตุพร จำเลยที่ 2 ต่อศาลอาญา เป็นครั้งที่ 3
คำร้องขอปล่อยชั่วคราวครั้งนี้ สรุปว่า คดีนี้ศาลนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 18 มกราคม 60 ผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดี มีความประสงค์ขอให้ศาลปล่อยชั่วคราว โดยมีเหตุผลว่าเดิมศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 โดยมีเงื่อนไขห้ามกระทำการใดมีลักษณะเป็นการดูหมิ่น ยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่ออันตรายกระทบเกียรติยศชื่อเสียง ความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมาย ซึ่งกรณีที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว จำเลยที่ 2 ได้ยอมรับข้อเท็จจริงต่อศาล และศาลไม่ต้องไต่สวนคำร้องโจทก์ และได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้บิดพลิ้วในการให้การต่อศาลตามข้อเท็จจริง และจำเลยที่ 2 ก็ยอมรับคำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว แต่คดีนี้มีการนัดสืบพยานอีกหลายปาก ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วเสร็จ ซึ่งโจทก์ฟ้องคดีตั้งแต่ปี 2553 จนปัจจุบันยังสืบพยานโจทก์ได้ไม่มาก จึงเห็นได้ว่าคดีไม่อาจพิจารณาเสร็จได้ในเร็ววัน และใช้เวลาอีกนาน ซึ่งคดีนี้ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวมาแล้วก็ไม่มีเหตุสงสัยว่าจำเลยจะหลบหนีหรือไม่ และจำเลยก็ไม่เคยผิดนัดศาล คงมีประเด็นเดียวที่ต้องพิจารณาว่าจำเลยที่ 2 จะปฏิบัติตนผิดเงื่อนไขตามที่ศาลกำหนดอีกหรือไม่
จำเลยที่ 2 เห็นว่า คำสั่งเพิกถอนสัญญาประกันมีลักษณะเดียวกันกับการลงโทษจำเลยที่ฝ่าฝืนคำสั่งศาล ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลได้ จำเลยที่ 2 จึงขอเรียนว่านับแต่ศาลเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวถึงวันนี้เป็นเวลานานกว่า 1 เดือนแล้ว จึงเห็นว่าเป็นเวลานานพอสมควรกับการลงโทษจำเลยที่พูดจาอันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งศาลแล้ว ซึ่งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาลงโทษนางสุดสงวน สุธีสร จำเลยคดีละเมิดอำนาจจากกรณีชูป้ายวางพวงหรีดที่ศาลแพ่งเป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งจำเลยเห็นว่าการเพิกถอนสัญญาประกันของจำเลยที่ 2 มีลักษณะเดียวกับการลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล โทษคุมขังจึงน่าจะพอสมควรแก่การกระทำที่ผิดพลาดจากการกระทำฝ่าฝืนเงื่อนไขของศาล จึงเป็นเหตุสมควรที่จะให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 ในระหว่างพิจารณาอีกสักครั้ง
อีกทั้งพฤติการณ์กับสถานการณ์บ้านเมืองก่อนและหลังศาลเพิกถอนสัญญาประกันมีสถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนไป ซึ่งเมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสร็จสวรรคต นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจ ต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวต่างชาติ รัฐบาลได้ประกาศไว้ทุกข์เพื่อถวายความอาลัย จำเลยที่ 2 มีความตั้งมั่นที่จะขอโอกาสในวาระเช่นนี้ไปแสดงความอาลัยและเข้ากราบพระบรมศพอย่างที่พสกนิกรทุกคนควรจะทำ ประกอบกับประเทศไทยอยู่ในช่วงแห่งความอาลัย ประชาชาทุกหมู่เหล่าต่างตระหนักในการสร้างความรักสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้น ไม่มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มใด และเชื่อว่าไม่มีประชาชนคนใดจะสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง จำเลยที่ 2 ขอให้คำมั่นต่อศาลว่าจะไม่กระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการดูหมิ่นผู้อื่น หรือยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่ออันตรายกระทบเกียรติยศชื่อเสียง และความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมาย หรือเงื่อนไขใดๆ ตามที่ศาลกำหนด จำเลยที่ 2 รู้สำนึกในการกระทำฝ่าฝืนคำสั่งศาลแล้ว จึงขอโอกาสในการได้รับการปล่อยชั่วคราวอีกสักครั้ง
ต่อมาในเวลา 15.20 น.ศาลอาญาได้มีคำสั่งให้ยกคำร้องของนายจตุพร โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าในชั้นนี้ยังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม โดยให้แจ้งคำสั่งศาลให้นายจตุพร จำเลยที่ 2 ทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว
ด้านนายวิญญัติ กล่าวว่า ทางทีมทนายจะเก็บข้อมูลทั้งหมดไปศึกษาเพื่อหาเหตุผลใหม่ในการยื่นขอประกันตัว ครั้งที่ 4 ในสัปดาห์หน้า ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าศาลจะเมตตา