ดีเอสไอ ขู่ลั่น! มวลชนจัดตั้งหยุดเคลื่อนไหว จ่อจับแกนนำ-พระไม่มีใบสุทธิดำเนินคดี

ติดตามข่าวเพิ่มได้ที่ www.tnews.co.th

วันนี้ ( 28 ก.พ.) ที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค1 (บก.ตชด.ภ.1)   ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักษ์ศักดิ์สกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะโฆษก พร้อมด้วยพล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา รองผู้บัญชาการภาค 1 พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักคดีพิเศษภาค พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ และรองโฆษกดีเอสไอ ผู้แทนจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) และผู้แทนจากกรมการปกครอง เข้าร่วมประชุมประเมินสถานการณ์และแนวทางปฏิบัติการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย เพื่อติดตามจับกุมตัวพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหาสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร คดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด  โดยวันนี้เป็นวันที่ 13 ของการเข้าตรวจค้น หลังจาก หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มีคำสั่งที่ 5/2560 ตามมาตรา 44 ประกาศให้พื้นที่วัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษ

ต่อมา เวลา 10.00 น.  พ.ต.ต.วรณัน ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้การประชุมยังไม่แล้วเสร็จ แต่มีข้อมูลสำคัญที่ต้องการสื่อสารไปยังประชาชน เนื่องจากวันนี้ข้อมูลทางการข่าวพบว่ามีมวลชนจัดตั้งประมาณ 700 คน ที่ตลาดกลางคลองหลวง จ.ปทุมธานี เตรียมจะใช้กลยุทธ์ผลักดันเจ้าหน้าที่ ซึ่งตรงนี้เห็นว่าเขาพยายามจะยกระดับและใช้ลักษณะของมวลชนเข้ามาปฏิบัติการมากขึ้น ซึ่งต้องเรียนย้ำว่าข้อมูลการข่าวเจ้าหน้าที่รัฐทราบทุกสิ่งที่ท่านทำทุกสิ่งที่ท่านขยับ ต่อไปนี้เราจะใช้มาตรการจริงจังในการที่จะเรียกคนที่เป็นแกนนำหรือบุคคลที่อยู่เบื้องหลังเข้ามารายงานตัว ซึ่งได้เริ่มปฏิบัติการแล้ว แต่เนื่องจากว่าเหตุมันจะเกิดภายในเวลา 10.00 น.ของวันนี้ เราจึงต้องเตือนย้ำไปยังผู้ที่จะเข้าร่วมชุมนุมและมาสมทบ หรือแม้แต่คนที่กำลังจะเคลื่อนไหวในเวลา 10.00 น.นี้ ขอให้หยุดการกระทำของท่าน และอยากให้เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่รัฐมาปฏิบัติตามกฎหมาย

 

พ.ต.ต.วรณัน กล่าวต่อว่า ส่วนตัวแกนนำถ้าเราพบการกระทำผิดซึ่งหน้าเราจะทำการจับกุมตัวและดำเนินคดีตามกฎหมายแน่นอน โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการเก็บข้อมูล 3-4 วันแล้ว ซึ่งมวลชนที่ว่ามี 2 ลักษณะคือ 1.คล้ายกับมวลชนจัดตั้งประมาณ 200 คน เป็นตัวเลขคงที่ และ 2.มวลชนที่เดินทางไปกลับ ซึ่งจะมีเพิ่มขึ้นตามช่วงเวลาที่มีสถานการณ์สำคัญ หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมก็จะเหลืออยู่ 200-300 คน

นอกจากนี้ จะมีพระสงฆ์หมุนเวียนเข้ามา ซึ่งเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีก็มีคำสั่งไปยังพระสงฆ์ในจังหวัดปทุมธานีหมดแล้วว่าห้ามเข้ามาร่วมในการชุมนุมครั้งนี้ ส่วนพระวินยาธิการ และเจ้าคณะอำเภอที่อยู่ที่ประตู 7 วัดพระธรรมกาย ก็ยืนยันแล้วว่าหลังจากที่เข้าไปทำการตรวจคัดกรองพระสงฆ์ ก็ทราบว่าพระสงฆ์เป็นพระที่มาจากสาขาของวัดพระธรรมกาย

รองโฆษก กล่าวด้วยว่า และตอนนี้มาตรการเชิงรุกทางฝ่ายสงฆ์ก็จะเพิ่มขึ้นโดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จะทำการตรวจสอบใบสุทธิในการเป็นพระสงฆ์ หากท่านไม่มีก็จะถูกดำเนินคดีข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ นอกจากนี้ เรายังพบข้อมูลทางการข่าวเพิ่มเติมว่า มีความพยายามจะให้มวลชนเล็ดลอดเข้ามาทางจุดสกัดที่เป็นแนวตะเข็บในช่วงเวลา 03.00-05.00 น. ซึ่งเราทราบแล้ว และได้มีแผนสกัดแล้ว พร้อมทั้งขอให้หยุดการกระทำนั้นด้วย

สำหรับรูปแบบของผู้ไม่หวังดีที่พยายามจะประชาสัมพันธ์ออกไปมีอยู่ 2 มุม คือ สื่อสารไปในลักษณะที่เจ้าหน้าที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และสื่อสารว่าเจ้าหน้าที่จะทำลายพระพุทธศาสนา

"ผมขอถามกลับไปว่า ท่านไปวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ๆ ว่าใครที่ทำลายพระพุทธศาสนา คำสอนของพระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่เราเป็นชาวพุทธ ท่านดูกันเอง และในส่วนของการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มีการขึ้นป้าย "We need food" เมื่อวานนี้สื่อได้รับทราบข้อมูลจากพระวินยาธิการซึ่งอยู่ในพื้นที่ และทราบข้อมูลโดยตรงแล้วว่าทางเราอนุญาตให้นำอาหารเข้าไปได้ ดังนั้น ปัญหาเรื่องนี้ไม่มี แต่เหตุที่เราต้องควบคุมพื้นที่ไว้ เพราะไม่อยากให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเติมเข้าไปในพื้นที่ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องการให้คนอยู่ภายในออกมา" รองโฆษก ดีเอสไอ กล่าว

 

พ.ต.ต.วรณัน กล่าวอีกว่า อีกประเด็นคือ กลยุทธ์ที่พยายามหาจุดผิดพลาดหรือจุดบกพร่องของเจ้าหน้าที่ และพยายามสื่อสารตีข่าวดำเนินคดี เพื่อให้เจ้าหน้าที่เสียขวัญ เช่น เมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการอ้างว่าเจ้าหน้าที่ไปลงลายมือชื่อแทน ซึ่งขอเรียนว่าหากท่านเห็นแบบเอกสารที่เผยแพร่ออกไปแล้ว เป็นแบบการสักถามข้อมูล และช่องที่อ้างว่าเป็นลายมือชื่อของบุคคลที่เป็นผู้ให้ข้อมูล เขาระบุว่า "เป็นผู้ให้ข้อมูล" ไม่ใช่ "ลายมือชื่อผู้ให้ข้อมูล"  ซึ่งท่านต้องไปดูในแบบดีๆ เจ้าหน้าที่เขากรอกข้อมูลเฉยๆ เพียงแต่เขาแจ้งข้อความตรงนั้น สื่อสารไปยังคนที่ให้ข้อมูลว่ามีข้อห้ามอย่างนี้อย่างนั้น แต่ตัวแบบเอกสารก็ทำให้เกิดความสับสนได้เช่นกัน ทางเจ้าหน้าที่ก็จะได้ไปปรับปรุงแบบให้สมบูรณ์มากขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการเปลี่ยนแบบหรือไม่ พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า ได้แจ้งไปแล้วว่าตัวแบบอาจทำให้ผู้ที่ถูกสักถามกับคนที่เป็นผู้บันทึกข้อมูลอาจจะคลาดเคลื่อนกันได้ ก็เลยให้ไปดำเนินการเรียบร้อยแล้ว โดยจะเปลี่ยนเฉพาะข้อความที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจ ซึ่งที่จริงแล้วเจ้าหน้าที่ไม่ได้ปกปิดอะไร ทั้งนี้ การปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งคสช.ที่ 5/2560 ในข้อ 10 ได้คุ้มครองเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานไว้อยู่แล้ว ลักษณะการคุ้มครองเช่นเดียวกับมาตรา 17 ที่กำหนดการบริหารงานในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งถูกฟ้องทางแพ่งและอาญาไม่ได้อยู่แล้ว จึงต้องเรียนให้ทราบ เพราะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต

ส่วนแผนปฏิบัติการที่จะเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกายนั้น พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า จะมีการแยกวงประชุมหารือกันอีกครั้ง ซึ่งจากการประเมินการข่าวที่มี  ทราบว่าวันนี้มีมวลชนมากขึ้น แต่แผนการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ก็ยังมีอยู่  โดยหลังจากนี้จะเพิ่มกำลังในการดูพระสงฆ์ให้มากขึ้นเพื่อจะได้ช่วยกันตรวจสอบ  สำหรับมาตรการเรียกบุคคลที่พฤติกรรมเคลื่อนไหวสนับสนุนมวลชน ก็เริ่มมีการเรียกแล้ว โดยอธิบดีดีเอสไอ ได้มอบอำนาจหลายส่วนไปให้ทางจังหวัด ตำรวจ ซึ่งท่านก็สามารถออกคำสั่งตามประกาศของคสช.ได้


วิทย์ณเมธา  สำนักข่าวทีนิวส์