แฉคนอื่นมามาก.. กล่าวหาคนอื่นว่าค้ากาม .. บังคับเด็กค้ากาม เปิดอีกด้าน "เสี่ยอ่าง" ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง?! เอาดีเข้าตัว??

แฉคนอื่นมามาก.. กล่าวหาคนอื่นว่าค้ากาม .. บังคับเด็กค้ากาม  สำหรับจอมแฉอย่างนายชูวิทย์  กมลวิศิษฎ์” อดีตเจ้าพ่ออาบอบนวด แม้จะยอมรับบว่าตัวเอง ก็เคยทำธุรกิจสีเทา แต่ก็ไม่ได้เคยบังคับเด็กให้ค้ากาม หรือค้ามนุษย์ แต่อย่างใด

 

ฉะนั้นดูข้อเท็จจริงกันเลยว่านายชูวิทย์ พูดจริงมากน้อยแค่ไหน..? ลองฟังเสียงนายชูวิทย์กันก่อนเลย ดีกว่า

(กดชมคลิป)

 

อีกด้านหนึ่งก็ต้องมาพิจารณาต่อ กับข้อเท็จจริงกัน ว่าสิ่งที่นายชูวิทย์ได้ออกมาพูดนั้น แท้จริงมีความจริงหรือไม่ประการใด.. เพราะคำพิพากษาของศาลฏีกา เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 54 ได้สั่งยึดทรัพย์นายชูวิทย์และบริษัทของเขา เป็นเงินทั้งสิ้น 3,489,453.46บาท เพราะศาลเชื่อตามที่อัยการได้ร้องว่า นายชูวิทย์ เป็นผู้ต้องหาในความผิดเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งบุคคลใดเพื่อให้บุคคลนั้นทำการค้าประเวณี เป็นการกระทำแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี เป็นเจ้าของกิจการค้าประเวณี ซึ่งมีบุคคลอายุกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี ทำการค้าประเวณีอยู่ด้วย อันเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542

 

 

นี่คือข้อเท็จจริงที่อัยการร้องนายชูวิทย์และบริษัทของเขา ซึ่งจากการสอบสวนเกี่ยวกับการกระทำผิดมูลฐานได้ความว่า นายชูวิทย์ และสถานบริการอาบอบนวดของนายชูวิทย์ ก็พบว่ามีถุงยางใช้แล้ว เป็นจำนวนม่ก ซึ่งนายชูวิทย์ เป็นผู้สั่งซื้อถุงยางอนามัยจากบริษัทต่างๆ โดยเฉพาะในปี 2545 ได้สั่งซื้อถุงยางเป็นเงินถึง 112,559.95 บาท และจากรายงานการตรวจสอบสถานบริการอาบอบนวดในเครือเดวิส กรุ๊ป ก็พบถุงยางอนามัยใช้แล้วจากกองขยะของสถานบริการโคปาคาบาน่า และบาบาล่า 153 ถุง สถานบริการเอ็มมานูเอล 30 ถุง สถานบริการฮอนโนลูลู 9 ถุง

 

และยังมีพยานให้การยืนยันว่า มีผู้พาไปทำงานเป็นพนักงานนวดที่สถานบริการอาบอบนวดฮอนโนลูลู ที่จัดให้พนักงานนวดทุกคนร่วมประเวณีกับลูกค้าที่มาใช้บริการ โดยการสมัครเข้าทำงานจะต้องตรวจรูปร่างหน้าตาและร่างกายโดยไม่สวมเสื้อผ้า ตรวจโรค ตรวจเลือด และตรวจภายใน และการฝึกสอนวิธีการอาบน้ำให้กับลูกค้า ซึ่งค่าตอบแทนจะได้รับรอบละ 1,900 บาท ซึ่งวันหนึ่งจะทำงานได้ 3-5 รอบ จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า นายชูวิทย์  และบริษัท เป็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ 

 

ขณะที่กำลังนำสืบอยู่นั้นว่า นายชูวิทย์ได้ให้ปิดป้ายห้ามค้าประเวณีที่สถานบริการอาบอบนวดฮอนโนลูลู ส่วนบัญชีเงินฝาก 2 ธนาคารเปิดไว้เพื่อรับชำระค่าบริการจากผู้ใช้บริการที่ชำระด้วยบัตรเครดิต ขณะที่การซื้อถุงยางของบริษัทผู้คัดค้านที่ 2 ก็นำมาเพื่อจำหน่ายให้ร้านมินิมาร์ทของสถานบริการ เหมือนกับร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยยืนยันว่า ผู้คัดค้านทั้ง 2 ไมได้กระทำความผิด และทรัพย์สินได้มาด้วยความสุจริต

 

 

 ศาลฎีกา เห็นว่า มีพยาน 2 ปาก ซึ่งทำงานเป็นพนักงานอาบอบนวดที่สถานบริการจูเลียน่า และฮอนโนลูลู ให้การเกี่ยวกับรายละเอียดตั้งแต่การไปสมัครงาน การให้บริการลูกค้า และยังระบุอีกว่า หากไม่ยอมให้บริการทางเพศกับลูกค้าจะถูกนายสมชาย เจนใจ ทำร้ายพยานทั้ง 2 และยังมี พ.ต.ท.วัจฉลิน วารินหอมหวน พนักงานสอบสวน สน.มักกะสัน เป็นพยานผู้ร้องเบิกความ ว่า ต้นปี 2546 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ห้วยขวาง จับกุม นายสมชาย กับพวกในข้อหาเป็นธุระจัดหาค้าประเวณี หลังจากมารดาของหญิงสาวที่ทำงานในสถานบริการฮอนโนลูลูเข้าแจ้งความ โดยผู้บังคับบัญชามอบหมายให้พยานร่วมทำการสอบสวนกับ สน.ห้วยขวาง เพราะสถานบริการอาบอบนวดฮอนโนลูลู อยู่ในพื้นที่ สน.มักกะสัน โดยพยานร่วมกับมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ร่วมตรวจสถานที่เกิดเหตุไม่พบร้านค้ามินิมาร์ท และป้ายห้ามค้าประเวณี ต่อมาได้ประสานกับสำนักงาน ปปง.ดำเนินคดีกับผู้คัดค้าน นอกจากนี้ ก็ยังมีพยานผู้ร้อง ซึ่งได้กระทำการในลักษณะล่อซื้อการค้าประเวณี เห็นว่า พยานทุกปากไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้คัดค้านทั้ง 2 มาก่อน โดยเฉพาะพยานที่เป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่ปฏิบัติราชการตามหน้าที่ จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้ง ปรักปรำนายชูวิทย์และบริษัทของเขา จะมีกฎระเบียบการทำงานของพนักงานโดยห้ามค้าประเวณีหรือมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าในห้องนวดก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงหน้าเชื่อว่าเป็นกฎระเบียบที่ออกไว้เป็นพิธีโดยไม่มีการปฏิบัติตามแต่อย่างใด

  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายชูวิทย์ เป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของสถานการค้าประเวณีดังกล่าว จึงรับฟังได้ว่าผู้คัดค้านทั้ง 2 มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการกระทำที่เป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (2) พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้คัดค้านที่ 1 จะถูกจับกุมตัวหรือจะต้องคำพิพากษาของศาลว่าเป็นผู้กระทำผิดและถูกลงโทษในคดีอาญาหรือไม่ ซึ่งตามบทบัญญัติกฎหมายการฟอกเงินให้สันนิฐานไว้ก่อนว่าบรรดาทรัพย์สินทั้ง 6 รายการตามร้องเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ซึ่งภาระพิสูจน์จะตกอยู่ที่ผู้คัดค้านทั้ง 2 ซึ่งผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าได้ทรัพย์สินทั้ง 6 รายการมาโดยสุจริต กรณีจึงไม่มีเหตุให้ศาลคืนทรัพย์สินดังกล่าวกับผู้คัดค้าน ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยยกคำร้องของอัยการผู้ร้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

 

   

ซึงข้อเท็จจริงปรากฏว่านายชูวิทย์เป็นเจ้าของ จึอนุมานได้ว่า มีการกระความผิดจริง ดังนั้นศาล จึงพิพากษากลับว่า ให้เงินในบัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนพระราม 9 และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนรัชดาภิเษก ห้วยขวาง ที่มีเงินเหลืออยู่จำนวน 127,725.06 บาท และ 17,128.40 บาท รวมทั้งหุ้นบริษัท เดวิส ไดมอนด์ สตาร์ จำกัด หุ้นบริษัท เดวิส โคปาคาบาน่า จำกัด หุ้นบริษัท เดวิส โกลเด้นสตาร์ จำกัด และหุ้นบริษัท เดวิส ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด รวม 33,446 หุ้น มูลค่า 3,344,600 บาท พร้อมด้วยดอกผลของทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน

 

นี่คือข้อเท็จจริงที่เกิดสำหรับนายชูวิทย์ ท่านผู้ชมก็ตัดสินเอาเองแล้วกัน ว่าอะไรเป็นอะไร นายชูวิทย์นั้นมีนัสัยอย่างไร??