โจรหนุ่มหลอน ขโมยทรัพย์สิน-ทุบหน้าต่างขโมยรถตำรวจ ก่อนจบที่เสาไฟฟ้า

โจ๋เมายาบ้าประสาทหลอน พังหน้าต่างป้อมขโมยทรัพย์สิน รถยนต์สายตรวจจราจร สภ.สุราษฎร์ธานี ขับไปเติมน้ำมันเต็มถัง หลบหนีมาไกลกว่า 100 กม. จนเกิดอุบัติเหตุชนเสาไฟสัญญาณจราจรที่อำเภอหลังสวนพังยับเยิน

เมื่อเวลา 01.00 น.วันนี้ (26 พ.ค.) ร.ต.อ.สนิท นุ้ยพิน รอง สว.(สอบสวน) สภ.หลังสวน จ.ชุมพร รับแจ้งเหตุมีรถยนต์สายตรวจตำรวจชนเสาไฟสัญญาณจราจรที่สามแยกวังตะกอ ถนนเอเชีย 41 หมู่ที่ 4 ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จึงพร้อมด้วยกำลังตำรวจรุดไปตรวจสอบ - ที่เกิดเหตุช่องทางขาขึ้นบริเวณสามแยกไฟจราจร ซึ่งเป็นสามแยกถนนเอเชีย 41 พื้นที่ อ.หลังสวน ไปยัง จ.ระนอง มีเสาไฟจราจรได้รับความเสียหาย จำนวน 3 ต้น ห่างออกไปเกือบ 50 เมตร พบรถยนต์กระบะตอนครึ่ง โตโยต้า รีโว่ สีบรอนซ์เงินคาดด้วยสีน้ำตาล หมายเลขทะเบียนตราโล่ 17240 ที่ข้างรถทั้ง 2 ข้าง มีอักษรภาษาอังกฤษตัวขนาดใหญ่ว่า “POLICE” และตราโล่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนที่กระบะท้ายทั้ง 2 ด้ายเขียนว่า “สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี” ด้านหน้ายุบฝากระโปรงเปิด ถุงลมนิรภัยทั้ง 2 ข้างทำงานออกมา สภาพรถแอ่นงอพังเสียหายยับเยินเกือบทั้งคัน จอดอัดติดอยู่กับเสาไฟฟ้าแรงสูงหน้าตึกแถวอาคารพาณิชย์

โจรหนุ่มหลอน ขโมยทรัพย์สิน-ทุบหน้าต่างขโมยรถตำรวจ ก่อนจบที่เสาไฟฟ้า

 

เจ้าหน้าที่พบ นายอัครเดช ปาละแก้ว อายุ 20 ปี บ้านเลขที่ 173/1 หมู่ 14 ต.นาคอก อ.นาด้วง จ.เลย ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย นั่งอยู่ข้างรถคันดังกล่าวอยู่ในอาการคล้ายคนเมายาเสพติดอย่างหนัก พูดจาวกไปวนมาไม่รู้เรื่อง  เจ้าหน้าที่สอบถามนายอัครเดช อ้างว่า ผู้ที่ขับรถยนต์สายตรวจคันดังกล่าวเป็นพี่ชายตนเอง ซึ่งเป็นตำรวจยศร้อยตำรวจโท ได้ขับรถยนต์สายตรวจจะพาตนไปส่งบ้านเกิด จ.เลย ช่วงเกิดเหตุไม่รู้หายไปไหนคาดว่าน่าจะกระเด็นออกนอกรถ ทำให้ตำรวจและหน่วยกู้ภัยหลังสวนต้องค้นหาในคูระบายน้ำและตามป่าละเมาะแต่ก็ไม่พบ 

 

โจรหนุ่มหลอน ขโมยทรัพย์สิน-ทุบหน้าต่างขโมยรถตำรวจ ก่อนจบที่เสาไฟฟ้า

 

เมื่อตำรวจตรวจสอบภายในห้องโดยสารของรถยนต์สายตรวจ พบรองเท้าของนายอัครเดช หล่นอยู่ในจุดที่นั่งคนขับ จึงมั่นใจว่านายอัครเดช ต้องเป็นคนขับรถยนต์คันดังกล่าวมาเพียงคนเดียว แต่ได้พูดจาเพ้อเจ้อเพราะมีอาการประสาทหลอน จึงควบคุมตัวไว้ และตรวจค้นในกระเป๋าสะพายแบบผู้หญิงที่นายอัครเดช สะพายอยู่พบวิทยุสื่อสารใช้ในราชการตำรวจ 4 เครื่อง บัตรประชาชนระบุชื่อที่อยู่เป็นของผู้หญิงชาวจง 2 ใบ อุปกรณ์เสพยาบ้า 1 อัน จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน

 

โจรหนุ่มหลอน ขโมยทรัพย์สิน-ทุบหน้าต่างขโมยรถตำรวจ ก่อนจบที่เสาไฟฟ้า

 

ต่อมา ขณะเกิดเหตุได้ไม่นาน ศูนย์วิทยุ สภ.หลังสวน ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 บก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ให้ช่วยสกัดรถยนต์กระบะตราโล่ด้านข้างเขียนไว้ว่า “สภ.เมืองสุราษฏร์ธานี” เนื่องจากรถคันดังกล่าวถูกคนร้ายขโมยไปจากป้อมตำรวจจราจรในตัวเมืองสุราษฎร์ธานี จึงแจ้งกลับไปว่ารถยนต์สายตรวจจราจรคันดังกล่าวคนร้ายขับมาประสบอุบัติเหตุอยู่ในพื้นที่ สภ.หลังสวน และได้ควบคุมตัวคนร้ายไว้แล้ว ซึ่งจุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากตัวเมือง จ.สุราษฎร์ธานีกว่า 100 กม.

เจ้าหน้าที่สอบสวนนายอัครเดช ยังให้การวกวนไปมา จากการตรวจสอบประวัติบุคคลเบื้องต้นทราบว่า นายอัครเดช เป็นชาว จ.เลย เคยถูกจำคุกในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อเสพ และได้รับอภัยโทษออกมาเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีงานทำ และได้มาอาศัยอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ป้อมสายตรวจจราจร สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี คอยดูแลทำความสะอาดป้อม และเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ตำรวจเห็นว่านายอัครเดช ยังมีพฤติกรรมหวนไปเสพยาเสพติดอีกไม่น่าไว้วางใจจึงให้ออกไปจากป้อม จนกระทั่งคืนเกิดเหตุ นายอัครเดช ได้เสพยาบ้ามาจำนวนมากจนเกิดอาการประสาทหลอน และได้เดินผ่านป้อมตำรวจสายตรวจจราจร สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี เห็นไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่จึงใช้ของแข็งทุบกระจกหน้าต่างจนแตกแล้วเข้าไปในป้อมรื้อค้นทรัพย์สิน และหยิบเอาวิทยุสื่อสารของตำรวจ กระเป๋าสะพาย บัตรประชาชนของผู้ที่กระทำความผิดกฎหมายจราจร และกุญแจรถยนต์วางอยู่

 

โจรหนุ่มหลอน ขโมยทรัพย์สิน-ทุบหน้าต่างขโมยรถตำรวจ ก่อนจบที่เสาไฟฟ้า


จึงเอาออกมาสตาร์ทรถยนต์สายตรวจจราจรที่จอดอยู่หน้าป้อมขับออกไปเติมน้ำมันเต็มถังที่ปั๊มเชลล์อยู่ไม่ห่างจากป้อมมากนักเนื่องจากรู้ว่าเป็นปั๊มที่ตำรวจนำรถยนต์มาเติมอยู่เป็นประจำแล้วเรียกเก็บเงินภายหลัง จากนั้นได้ขับมุ่งหน้ากลับบ้านเกิดที่ จ.เลย ด้วยอาการประสาทหลอนจนมาประสบอุบัติเหตุดังกล่าว

ในส่วนของ สภ.หลังสวน ตำรวจได้ควบคุมตัวไปตรวจ พบมีสารเสพติดอยู่ในร่างกาย และนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีในข้อหา ขับรถขณะมีสารเสพติดให้โทษอยู่ในร่างกาย และขับรถประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินทางราชการได้รับความเสียหาย เนื่องจากการตรวจปัสสาวะพบสารเสพติดในร่างกาย พร้อมกับอายัดตัวไว้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี มารับตัวไปดำเนินคดีฐานความผิดที่ก่อเหตุขึ้นในเขตพื้นที่ดังกล่าวต่อไป ต่อมาเวลา 12.00 น.วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยัง สภ.หลังสวน พบว่ารถยนต์สายตรวจจราจร เจ้าหน้าที่ได้ลากมาไว้ในจุดที่เก็บรถของกลาง ซึ่งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี เดินทางมาตรวจสอบแต่อย่างใด มีเพียงโทรศัพท์มาขอทราบรายเอียดต่างๆ จากตำรวจที่เกี่ยวข้องใน สภ.หลังสวน เท่านั้น ขณะที่ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามและขอสัมภาษณ์นายตำรวจที่เกี่ยวข้อง ได้รับการปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์และให้ข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น