- 14 ม.ค. 2561
บรรยากาศลงทุนสดใส อ่านรายละเอียดเพจRichman can do
ดัชนีไปต่อทะลุ 1800 จุด แบงก์ประกาศงบการเงิน
สำหรับภาวะดารลงทุนตลาดหุ้นไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับไปยืนเหนือ 1,800 จุดอีกครั้ง โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,810.19 จุด เพิ่มขึ้น 0.82% จากสัปดาห์ก่อน มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลงประมาณ 6.41% จากสัปดาห์ก่อน มาที่ 82,406.05 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ mai ปิดที่ 537.56 จุด ทรงตัวจากสัปดาห์ที่แล้ว
ส่วนการลงทุนในสัปดาห์นี้ (15-19 ม.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,800 และ 1,790 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,820 และ 1,835 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คงได้แก่ การทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 60 ของบริษัทจดทะเบียนส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านเดือนธ.ค. และดัชนีการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนม.ค. ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ จีดีพีไตรมาส 4/60 ของจีน และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนธ.ค. ของประเทศแถบยุโรป
ด้านบริษัทหลักทรัพย์เคทีบี ทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯมีโอกาสเดินหน้าต่อ กรอบการเคลื่อนไหว 1790-1837 จุด .... ตัวแปรสนับสนุนให้หุ้นไทยไปต่อได้ หลักๆ คือ ปัจจัยในประเทศที่ยังดี ทั้งเศรษฐกิจและการเมืองที่มีทิศทางที่ชัดเจน และการปรับฐานของตลาด ที่คาดว่าจะจบลง เพราะจากนี้ นักลงทุนจะเริ่มเข้ามาเก็งกำไรในงบไตรมาส 4 ปีที่แล้ว และเงินปันผล รวมถึงปัจจัยที่เอื้อต่อการลงทุน คือ ดอลล่าร์อ่อน ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น (WTI=$64) ปัจจัยถ่วงจะเป็น นักลงทุนตปท.ยังขายหุ้น และนักลงทุนเพิ่มความระมัดระวัง จาก ความผันผวนของค่าเงินดอลล่าร์
.กลยุทธ์ลงทุน : จากการปรับฐานของตลาดที่คาดว่าจบลง นักลงทุนสามารถถือหุ้น(ใหญ่) ต่อไปได้ แต่การเข้าลงทุนในหุ้นรายตัว คาดแรงซื้อจะเป็นลักษณะของการเลือกลงทุน (selective) เพราะหุ้นขึ้นมามากในระดับหนึ่งแล้ว และนักลงทุนน่าจะมีการสลับกลุ่มไปยังหุ้นที่ราคาอ่อนตัวลงมาบ้างหรือมีปัจจัยเฉพาะตัว สัปดาห์นี้ เรากลับมาให้น้ำหนักลงทุนกับหุ้นที่อิงกับปัจจัยบวกในประเทศอีกครั้ง คือ ธนาคาร-ค้าปลีก-นิคมฯ หุ้นที่เราแนะนำใน 3 กลุ่มหลัก จะเป็น BBL, TMB, BJC, WHA
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่า สัปดาห์นี้คาดตลาด แกว่งตัวแคบ ๆ เพราะเริ่มเข้าสู่การรายงานผลประกอบการ
กลุ่มธนาคารปี 2017 โดยจากคาดการณ์ของโบรกเกอร์หลายแห่ง คาด 10 ธนาคารใหญ่มีกำไรสุทธิรวมที่ 1.94 แสนลบ. ลดลงราว -3.3% จาก 2.01 แสนลบ.ในปี 2016 กดดันจากผลประกอบการของ KTB ในไตรมาส3ที่มีการตั้งสำรองสูงกว่าคาด ทั้งนี้ หากไม่นับรวม KTB กำไรสุทธิรวมของกลุ่มธนาคารจะทรงตัวที่ +0.1% รวมถึงทิศทางผลประกอบการในปีนี้คากว่า จะกลับมาเติบโตเด่น โดยคาดวัฎจักรหนี้เสีย NPL ที่ใกล้สิ้นสุดลง จะหนุนให้การตั้งสำรองลดลงไปด้วย เพิ่มแรงเก็งกำไรในกลุ่มธนาคารได้ สอดคล้องกับผลประกอบการ 2017F
ส่วนปัจจัยที่น่าติดตามจากต่างประเทศ คือ การหารือเรื่องการขยายเพดานหนี้ ซึ่งจะต้องได้ข้อสรุปภายใน 19มค.นี้ โดยความเสี่ยงหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ อาจจะเกิดการปิดตัวของหน่วยงานราชการบางส่วน แต่มองว่ามีโอกาสค่อนข้างสูงที่การหารือจะสำเร็จ เนื่องจากสมาชิกพรรคริพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภา
กลยุทธ์การลงทุน: หุ้นในสัดส่วนสูง 75% แนะนำ หุ้นขนาดใหญ่ที่พื้นฐานดี KBANK, STEC, CK, TOA, HMPRO, IVL, IRPC, PTTEP
ผสานหุ้นขนาดกลาง Mid Small Cap ที่ฐานกำไรกำลังฟื้นตัว PSTC, FN, MONO, MM , JUBILE, KAMART, PM, TK, S11, NYT, BLAND
เลี่ยงหุ้นที่ถูกกดดันจากค่าเงินบาทแข็งค่า คือ กลุ่มส่งออก KCE, DELTA, HANA, TU, CPF
หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ : แนะนำ CK, TOA, STEC ส่วนหุ้นสัปดาห์ก่อน PSTC, CK, STEC ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.39% ดีกว่าดัชนีฯ ที่ให้ผลตอบแทน 0.82%
1)CK(TP40):รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้1.01แสนล้านบาทประมูล 1Q18ตามแผน
2) TOA(TP40) : คาดผลประกอบการณ์ 2018 เพิ่มขึ้น จากราคาขาย และกําลังการผลิต เพิ่ม
3)STEC(TP33.5):บริษัทได้ลงนามสัญญาก่อสร้างรถไฟทางคู่เพิ่ม1 หมื่นล้านบาท