- 05 ก.พ. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.deepsnews.com
ที่ผ่านมา งานวิจัย มักจะใช้ตอบโจทย์ หรือต่อยอดงานวิชาการ ซึ่งเป็นเรื่องไกลตัวชีวิต วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
ซึ่งในรัฐบาลชุดนี้ โดยนายกรัฐมนตรีได้ตั้งเป้าในการที่จะนำงานวิจัย มาเป็นอีกกลไกหนึ่ง ที่ใช้สร้างโอกาสและผลักดันให้ประเทศก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางเป็นประเทศที่มีรายได้สูง ด้วยการส่งเสริม สนับสนุุุนให้มีการนำงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง ทั้งใช้อำนาจตาม ม.44 ปฏิรูประบบวิจัยของประเทศทั้งระบบ / ตั้งสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อบูรณาการการทำงานของหน่วยงานวิจัยต่างๆ ให้ประสานสอดคล้องและไม่ซ้ำซ้อนกัน / ออกมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 300 เพื่อให้นำค่าใช้จ่ายจากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปขอยกเว้นภาษีได้สูงสุด 3 เท่าของที่จ่ายจริง /การจัดทำบัญชีนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ไทยให้ภาคเอกชนนำไปใช้ประโยชน์ การส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ
ล่าสุด นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่าได้หารือกับสำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการทำวิจัยของประเทศ ซึ่งประกอบด้วย สำนักงบประมาณ สภาวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เกี่ยวกับแนวทางการจัดทำงบประมาณและโครงการวิจัยในปีนี้และปีต่อๆ ไป มุ่งตอบโจทย์ที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และเอาไปใช้ได้จริง มากกว่าที่จะวิจัยในหัวข้อที่อาจารย์อยากจะทำแล้วก็ถูกนำไปขึ้นหิ้ง โดยประชาชนไม่ได้ประโยชน์ใดๆ
ดังนั้นจึงได้ร่วมหารือกันภายใต้แนวคิด "วิจัยกินได้" โดยหารือถึงแนวทางการกำหนดโจทย์การวิจัยอย่างไร ที่จะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง รวมถึงแก้ปัญหาสำคัญของแต่ละพื้นที่ เช่น การวิจัยเรื่องธนาคารปู การปลูกทุเรียนนอกฤดูกาล การเจาะรูต่อท่อแทนการกรีดยางพาราซึ่งจะช่วยเพิ่มอายุต้นยางได้เท่าตัว การสร้างคุณค่าจากผักตบชวา หรือแม้แต่การแก้ปัญหาหมอกควันทางภาคเหนือที่ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาใบข้าวโพด ถ้าเราสามารถแก้ปัญหาเหมือนการใช้ใบอ้อยที่เอามาใช้ในโรงงานไฟฟ้า โดยปัจจุบันใบอ้อยหนึ่งตันสามารถขายได้ 200 บาท ถ้าหากเราวิจัยให้เอาใบข้าวโพดมาใช้ได้เช่นกัน ก็จะไม่ต้องมีการเผา สร้างปัญหาหมอกควันเหมือนทุกๆปี เป็นต้น
ทั้งนี้ โครงการวิจัยดังกล่าว ต้องทำกับชุมชน และเมื่อวิจัยเสร็จแล้วต้องนำองค์ความรู้เรื่องนั้นๆ มาขยายผลต่อไปสู่พื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ รวมถึงในอนาคตจะมีการตั้งศูนย์ความเป็นเลิศในแต่ละด้าน เช่น จ.จันทบุรี เรื่องทุเรียน จ.เชียงใหม่ เรื่องลำใย จ.สงขลา เรื่องประมง จ.นครราชสีมา เรื่องโคเนื้อนุ่ม เป็นต้น ตรงนี้จะเป็นการตอบโจทย์ในสิ่งที่ประชาชนต้องการและอยากได้ ช่วยสร้างรายได้ สร้างอาชีพใหม่ของประชาชน ที่สำคัญยังเป็นการสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจที่จะทำให้เกิดความยั่งยืนในชุมชนและสังคมทั่วประเทศไทยต่อไป