- 21 ก.พ. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
เผยแนวคิดผู้บริหาร ทำไมต้องสร้าง ปตท. ให้โต แล้ว แตก ดันแต่ละกิจการมาตั้งเป็นอาณาจักรใหม่ ...????
เทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT)
ข่าวบมจ. ปตท. (PTT) มีแผนแตกพาร์จาก 10 บาทเหลือ 1 บาท มีผลต่อดัชนีหุ้นไทยในวันนี้มาก ปิดทำการที่ระดับ 1,801.16 จุด เพิ่มขึ้น 0.14 จุด หรือ 0.01% มีมูลค่าการซื้อขาย 84,084.58 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่ดันดัชนีมากที่สุด 5 อันดับ 1. คือ PTT ปิดที่ระดับ 522.00 บาท เพิ่มขึ้น 32.00 บาท ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นมีผลต่อดัชนี 9.1015 จุด.
อย่างไรก็ตาม แม้ ปตท. จะมีสตอรี่แรกไปแล้ว เรื่องแตกพาร์ และจ่ายเงินปันผลถึงหุ้นละ 12 บาท ส่วนผลดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 60 มีกำไรสุทธิ 3.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 58% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (qoq) เพราะไม่มีบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์เหมือนในไตรมาส 3 ที่บันทึกสูงถึง 1.85 หมื่นล้านบาท จากโครงการมาเรียนา ออยแซนด์ โดยรวมแล้ว ทำให้กำไรทั้งปี 60 ของ PTT ทำได้ 1.35 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.9%
แต่จากการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหาร ปตท. จะพบว่า กำไรที่แท้จริง จะมาจากอาณาจักรหรือ บริษัทลูกมากมายที่ ปตท. มี และ ใช้วิธีแตกแต่ละธุรกิจออกมา สร้างเป็นอาณาจักร หรือ เป็น บริษัท ใหม่ แล้วดันกิจการเหล่านี้เข้าตลาดหุ้น ทำให้ ปตท.มีรายได้เพิ่มจากการขายสินทรัพย์หรือ หุ้น และ รับรู้รายได้เพิ่มของแต่ละบริษัทลูก รวมทั้งเงินปันผลจากบริษัทลูกเหล่านี้ เพราะปตท.เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ดังนั้น คาดว่า ภายหลังจากที่ ปตท.ใช้พาร์ใหม่ 1 บาท หุ้นก็ยังมีข่าวให้เล่นอีก เนื่องจากปีนี้บริษัทมีแผนจะนำ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (PTTOR) เข้าตลาดหุ้นในปลายปีนี้
จากการให้สัมภาษณ์ เทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT) คาดว่า หุ้น น่าจะเริ่มซื้อขายที่มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) ใหม่หุ้นละ 1 บาท ภายในปลายเดือน เม.ย.-ต้น พ.ค.นี้ หากผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติให้ปรับเปลี่ยนราคาพาร์จากเดิมหุ้นละ 10 บาท ตามที่ฝ่ายบริหารนำเสนอ
ส่วนแผนการเสนอขายหุ้นสามัญของ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (PTTOR) ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และการนำ PTTOR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น คาดว่าจะยื่นแบบแสดงข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ปลายปีนี้และกระจายหุ้นได้ราวกลางปี 62
เทวินทร์ กล่าวว่า ปตท.จะแตกพาร์เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของหุ้นและเปิดทางให้ประชาชนสามารถเข้ามาลงทุนในหุ้น PTT ได้มากขึ้น ซึ่งหลังจากที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 12 เม.ย.นี้มีมติอนุมัติแล้ว ก็คาดว่าจะสามารถซื้อขายหุ้น PTT ที่พาร์ใหม่ได้ในช่วงปลายเดือน เม.ย.ถึงพ.ค.นี้ ก่อนหน้านี้สัดส่วนการถือหุ้น PTT ของรายย่อยอยู่ที่ 6-7% แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาราคาหุ้น PTT อยู่ในช่วงระดับ 300-500 บาท/หุ้นนั้น ทำให้สัดส่วนรายย่อยถือหุ้น PTT ลดลงเหลือระดับ 4% ดังนั้น เชื่อว่าเมื่อซื้อขายบนพาร์ใหม่แล้วสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนรายย่อยก็จะกลับเข้ามาในระดับ 6-7% ได้อีกครั้ง
"เจตนารมย์ที่เป็นบริษัทอย่างปตท. ที่นำมากระจายหุ้นให้ก็อยากให้คนไทยมีโอกาสถือหุ้น ก็อยากให้มีความง่ายต่อผู้ลงทุนเข้ามาถือหุ้น PTT ซึ่งถ้าเทียบราคาที่ 500 บาทต่อหุ้น ก็จะทำให้มีเงิน 5,000 บาท ก็สามารถซื้อหุ้น PTT ได้ จากเดิมที่ต้องใช้เงินถึง 50,000 บาท "เทวินทร์ กล่าว
ส่วนแผนการนำ PTTOR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น คาดว่าจะสามารถยื่นไฟลิ่งในช่วงปลายปีนี้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะใช้เวลาพิจารณาอีกประมาณ 6-8 เดือนจะสามารถกระจายหุ้นได้ โดยคาดว่าจะดำเนินการได้อย่างเร็วในช่วงกลางปี 62 หรือในช่วงครึ่งหลังของปี 62
นอกจากนั้นวันนี้ 21/2/61 ปตท.ยังได้เข้าโอนหุ้นบมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) จากธนาคารออมสิน จำนวน 9.54% มูลค่า 1.38 หมื่นล้านบาท ผ่านการทำรายการบิ๊กล็อต ซึ่งจะทำให้ปตท.ถือหุ้นใน IRPC เพิ่มเป็น 48.05% จากเดิมที่ 38.51% ทำให้ ปตท.รับรู้รายได้และกำไรของ IRPC ตั้งแต่ไตรมาส 1/61 หลังจากชำระเงินซื้อหุ้น IRPC แล้ว บริษัทจะเหลือกระแสเงินสด 1 แสนล้านบาท และจะต้องจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นอีก 3 หมื่นล้านบาท ทำให้เหลือกระแสเงินสด 7 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเพียงพอในการลงทุน ซึ่งปี 61ใช้เงินลงทุนก่อสร้างต่างๆ 6-7 หมื่นล้านบาท (ไม่รวมการเพิ่มทุนให้PTTOR ซื้อสินทรัพย์จากปตท.)
ส่วนงบลงทุน 5 ปี (2561-2565) วงเงิน 3.4 แสนล้านบาท ครอบคลุมการขยายโครงสร้างพื้นฐานในการวางระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 5 คลังรับก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) การปรับโครงสร้างธุรกิจค้าปลีก ขยายธุรกิจไปต่างประเทศ รวมทั้งศึกษาธุรกิจใหม่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งบริษัทได้เตรียมงบสำรองเฉพาะในส่วนนี้ไว้เพิ่มอีกประมาณ 2.4 แสนล้านบาท และยังอยู่ระหว่างศึกษาการใช้ประโยชน์ความเย็นจากคลังรับแอลเอ็นจีเพื่อทำห้องเย็นสำหรับผลไม้ที่จังหวัดระยองด้วยซึ่งจะเป็นการถือหุ้นในระดับใกล้เคียงกันของบริษัทที่เป็น Flagship ของกลุ่ม ปตท. จากปัจจุบันที่ถือหุ้นใน บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) สัดส่วน 48.89% และบมจ.ไทยออยล์ (TOP) ในระดับ 49.10% ซึ่งจะทำให้ปตท.รับรู้กำไรเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นใน IRPC ตั้งแต่ในไตรมาส 1/61
ด้านนิธิมา เทพวนังกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน ของ PTT กล่าวว่า ปีที่แล้วปตท.สามารถทำกำไรสุทธิได้ 1.35 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.9% จากปี 59 โดยในส่วนนี้จากภาพรวมของธุรกิจในกลุ่มที่ดีขึ้นแล้ว ยังมีรายการพิเศษอีกว่า 7 พันล้านบาท จากการรับเงินปันผลและกำไรจากการจำหน่ายหน่วยลงทุน ได้แก่ หน่วยลงทุนในกองทุนดัชนีพลังงานและปิโตรเคมี (EPIF) และหุ้นบมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) ซึ่งในปีนี้ก็จะไม่มีรายการพิเศษดังกล่าว ขณะที่ในส่วนการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ปีนี้ก็คาดว่าจะไม่มากเหมือนปีที่แล้ว ที่บริษัทในกลุ่มตั้งด้อยค่าสินทรัพย์จำนวนมาก