คนของใคร...!?!?! "ผู้การโจ๊ก" พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล เติบโตแบบติดจรวด (รายละเอียด)

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม : www.tnews.co.th

จากกรณีที่ วาสนา นาม่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร ได้มีการโพสต์ข้อความแสดงความยินดีกับ "ผู้การโจ๊ก"พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ได้เป็น ผบก.สปพ. อย่างเต็มตัว โดยข้อความระบุว่า เขินๆ เพื่อนฝูง ตท.31 พี่น้องแห่ยินดี "ผู้การโจ๊ก"พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้การตร.191 ศิษย์เก่า รร.เตรียมทหารดีเด่น ...ถือเป็น ตำรวจคนเดียว และเป็น รุ่นเด็กสุด ในบรรดา นายทหารที่ได้รับรางวัล ครั้งนี้.... รับรางวัล เกียรติยศจักรดาว วันนี้ จาก บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร ทำหน้าที่ประธาน แทน นายกฯ ที่จู่ๆ วานนี้ ก็แจ้งยกเลิก มอบ บิ๊กป้อม มาแทน จนร่ำลือกันถึงหลายสาเหตุว่า เพราะอะไร...????

 

 

ทั้งนี้หากเราย้อนดูประวัติของ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ก็จะพบว่ามีประวัติที่ไม่ธรรมดากันเลยทีเดียว จากการสืบค้นพบว่า พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 47 และถือเป็นนายพลตำรวจคนหนึ่งที่มีการเติบโตในตำแหน่งหน้าที่แบบก้าวกระโดด  จนถึงขั้นมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า  ต้องจับตาเพราะเป็นนายพลตำรวจคนแรกที่มีอายุราชการน้อยที่สุดตั้งแต่มีการก่อตั้ง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”  ด้วยวัยเพียง 42 ปีเท่านั้น ??? (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>> ไม่มีเกาเหลาในสตช. มีแต่ โจ๊ก” (หวานเจี๊ยบ) !!!)

 

คนของใคร...!?!?! "ผู้การโจ๊ก" พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล เติบโตแบบติดจรวด (รายละเอียด)

 

โดยกรณีนี้เกิดขึ้นในช่วงปี 2557  เมื่อ  พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่ง ตร.เลขที่ 542/2557  เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทน เพื่อให้การปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)  ในภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความ มาตรา 70 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจ พ.ศ. 2547 และปรากฏชื่อ  พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบก.จว.สงขลา  ขึ้นเป็นรักษาราชการแทนผู้บังคับการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่ประสานนโยบายกับนายกรัฐมนตรี  แปลความว่าหน้าที่การงานของ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์  ที่ได้รับมอบหมาย ก็คือเป็นนายตำรวจที่  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกตร. ไว้วางใจ เลือกไปช่วยประสานการทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลายเป็นนายตำรวจติดตามใกล้ชิด ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2557   !!!

 

กลับไปที่ประวัติชีวิตส่วนตัว  พล.ต.ต.สุรเชษฐ์  มีชื่อเล่นที่ติดปากเพื่อนๆ และคนคุ้นเคย 2 ชื่อคือ “โจ๊ก” กับ “โจ๊ะ”  ที่มีเรื่องเล่าว่าชีวิตตอนเยาว์วัยเป็นเด็กในบ้านของ  พล.ต.อ.เสมอ ดามาพงศ์ อดีตนายตำรวจใหญ่ที่สังคมไทยรู้จักกันดีในฐานะพ่อตา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  เนื่องจาก  “โจ๊ก”  หรือ  “โจ๊ะ”  เป็นบุตรชายของพ่อบ้าน “พล.ต.อ.เสมอ”  และ หน้าที่เสมือนเลขาฯ ใกล้ตัวทั้งขับรถ  บอดี้การ์ดที่จะติดตาม "พล.ต.อ.เสมอ"  ไปทุกหนทุกแห่ง

 

จากวัยเด็กสู่วัยเติบโตใหญ่  “โจ๊ก”  หรือ  “โจ๊ะ”  กลายเป็นข้าราชการตำรวจที่พวกพ้องให้ความสนิทสนม  เพราะมีบุคลิกภาพอ่อนโยน ประสานกับทุกฝ่ายได้อย่างชนิดเรียกว่าเป็นนายตำรวจที่มีมนุษยสัมพันธ์ล้ำเลิศ  และท้ายสุดก็กลายมาเป็นที่มาของฉายา  “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” คนนี้นี่เอง !!!

 

แต่กับชีวิตข้าราชการตำรวจที่แกว่งไกวไปตามกระแสการเมือง ไม่มีทางที่ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” จะ(สุข)งอมไปทุกเรื่อง โดยเฉพาะกับเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นที่เล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้  หรือ ก่อนที่  “พล.ต.ต.สุรเชษฐ์”  จะกลายเป็นนายพลคนดังวันนี้  คือการที่ "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ”  ขณะดำรงตำแหน่งเป็น ผกก.บก.ปคม. เมื่อประมาณต้นปี 2554 ได้ถูก นายเขตสยาม เนาว์รังสี เจ้าของสถานบริการโบว์ลิ่งเบียร์ คาราโอเกะ เข้าแจ้งความกล่าวหาว่าถูก "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” และพวกรวม 3 คน ข่มขู่รีดไถ ตามสำนวนอาญา ที่ 18/2554

นายเขตสยาม เนาว์รังสี  บอกเล่าว่ามีชายหญิงคู่หนึ่งเข้ามาพบที่ร้านอ้างชื่อ  พ.ต.อ.สุรเชษฐ์  (ยศ-ตำแหน่งในขณะนั้น)  ขอเก็บค่าอำนวยความสะดวกเดือนละ 1,000 บาท โดยให้โอนเข้าบัญชีผู้หญิง ต่อมามีการขอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเดือนละ 5,000 บาท  ทำให้ตนจ่ายไม่ไหว  จึงถูกผู้กล่าวอ้างข่มขู่จะอุ้มไปวิสามัญฯ  จนเกิดความเกรงกลัวต้องหนีข้ามไปฝั่งเพื่อนบ้าน แต่ในที่สุดเมื่อเห็นมีผู้ประกอบการรายอื่นๆ รวมตัวกันร้องเรียนมากถึง 130 รายผ่านไปยังศูนย์เว็บไซต์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำโขงแจ้งความร้องทุกข์ดังกล่าว

 

ต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงในขณะนั้นจึงมีคำสั่งให้  พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพัฒน์ ผบช.ก.  ในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรง  ตั้งคณะกรรมการสอบสวนและให้ย้าย พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับพวกจนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น

 

กระทั่งท้ายสุด “พ.ต.อ.สุรเชษฐ์”  ในวันนั้น หรือ “พล.ต.ต.สุรเชษฐ์” วันนี้  ถูก “พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง”  จเรตำรวจแห่งชาติ (ในขณะนั้น)  พิจารณาดำเนินการลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อกล่าวหา และยื่นร้องปปช.ให้ดำเนินคดีอาญา “พล.ต.ต.สุรเชษฐ์” ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ

 

แต่ในทางกลับกัน  พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ตั้งทนายยื่นฟ้อง  พล.ต.อ.วิเชียร  พจน์โพธิ์ศรี  (ขณะดำตำแหน่งผบ.ตร.)  รวมถึง  พล.ต.อ.สถาพร และพวกรวม 15  คน  ต่อศาลอาญาในความผิดต่อหน้าที่ราชการว่า  ดำเนินการปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยไม่มีอำนาจและมีเจตนากลั่นแกล้งชี้มูลความผิดให้ได้รับความเสียหาย

 

อย่างไรก็ตามจากวันนั้นถึงวันนี้ สำนวนคำร้องพิจารณาความผิดต่อ “พล.ต.ต.สุรเชษฐ์”  หรือ  “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ยังคงไม่มีความคืบหน้าใดๆ จากการดำเนินการของปปช. ในขณะที่ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตข้าราชการตำรวจของ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ยังปรากฏให้เห็นชัดเจน จากมติการประชุมกตร. เมื่อวันที่  21 ต.ค. 2558  พิจารณาให้  “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยวคนปัจจุบัน!!!

 

โดย “พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา”  ในฐานะผบ.ตร. ให้เหตุผลประกอบการพิจารณาแต่งตั้ง พ.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ  "โจ๊ก หวานเจี้ยบ"  ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว (ผบก.ทท.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ว่า พ.ต.อ. สุรเชษฐ์ ถือเป็นคนหนุ่มไฟแรง ทั้งยังจบการอบรมหลักสูตร FBI และจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านรัฐศาสตร์ มีความสามารถเพียงพอที่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่งดังกล่าว เพื่อมารองรับการที่ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในเร็วๆ นี้

 

"การแต่งตั้งในครั้งเป็นการพิจารณาตามความเหมาะสม  และความรู้ความสามารถ โดยปราศจากการแทรกแทรงจากฝ่ายการเมืองแต่อย่างใด เพราะผมเป็นผู้สั่งให้ผู้บังคับบัญชาในหน่วยต่างๆ ปฏิบัติตามที่ผมต้องการด้วยตัวเอง ...  "

 

ที่มา Wassana Nanuam

เรียบเรียงโดย วัสดา สำนักข่าวทีนิวส์