ปัญหากวนใจที่มาพร้อมกับหน้าฝนแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้น การตากเสื้อผ้าไม่แห้งและจะติดสอยห้อยตามมาด้วย “กลิ่นอับ”

ปัญหากวนใจที่มาพร้อมกับหน้าฝนแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้น การตากเสื้อผ้าไม่แห้งและจะติดสอยห้อยตามมาด้วย “กลิ่นอับ” ที่บอกเลยว่าไม่ดีแน่ๆถ้าใส่เสื้อผ้ามีกลิ่นไปออกพบปะผู้คน ที่ทำลายภาพลักษณ์ใครหลายๆคนมานัดต่อนัดแล้ว แต่ปัญหากวนใจเหล่านี้แก้ได้ด้วยวิธีแสนง่ายที่หลายคนจะต้องร้องว้าว กับผลลัพธ์เกินคุ้มและยังทำได้ง่ายๆจากอุปกรณ์ในบ้าน

1. ซักปริมาณน้อย แต่บ่อยขึ้น : ไม่ปล่อยให้ผ้าที่ใส่แล้วล้นตะกร้า โดยเฉพาะผ้าที่เปื้อนหรือเปียกชื้นละอองฝน เพราะแบคทีเรียที่สะสมอยู่ในเนื้อผ้าจะรวมตัวกับความชื้น ทำให้เกิดกลิ่นอับ และอาจเกิดอาการระคายเคืองแก่ผิวหนังได้
2. จัดระยะห่างของเสื้อผ้าให้ดี  : ในการตากผ้านั้นถ้าอยากให้ผ้าแห้งเร็ว ตอนตากก็ให้คอยจัดระยะห่างของผ้าแต่ละผืนด้วย เพราะหากผ้าอยู่ชิดติดกันเกินไปลมจะพัดผ่านเข้าไปในผ้าไม่ได้ ผ้าก็จะไม่แห้ง ให้แขวนผ้าห่างกันซักหนึ่งคืบ บางครั้งลมพัดทำให้ผ้าเลื่อนมาชิดกัน ก็ให้นำเชือกมามัดเป็นปมคั่นไว้ หรืออาจจะเลือกราวผ้าที่มีห่วงคล้อง ซึ่งจะแขวนเสื้อได้ห่วงละอันเท่านั้น ทำให้ผ้าไม่ไหลไปกองรวมกัน และมีระยะห่างที่เหมาะสม ลมพัดผ่านเข้าไปได้ทำให้ผ้าแห้งเร็ว
3. ใช้ไดร์เป่าผมและถุงพลาสติกช่วย : วิธีนี้ใช้ได้ดีและผ้าที่ไม่ค่อยหนา โดยหากผ้ายังชื้นอยู่แล้วให้รีบใช้ หาถุงพลาสติกใบใหญ่และหนามาจากนั้นเราผ้าที่ต้องการให้แห้งใส่ถุงพลาสติก แล้วเอาไดร์ฟเป่าผมเป่าลมร้อนเข้าไปในถุง เขย่าถุงนิดหน่อยเพื่อให้ความร้อนเข้าสู่เนื้อผ้าอย่างทั่วถึง เพียงไม่นานผ้าก็จะแห้ง จากนั้นเอาไปรีบและผึ่งซักพักก็สามารถสวมใส่ได้เลย
4. เปิดพัดลมเป่า : หากไม่มีแสงแดดให้สามารถตากผ้าได้เลย ก็ให้เอามาผึ่งพัดลมแทนได้ โดยตอนซักผ้าเสร็จนั้นต้องปั่นให้แห้งหรือบิดน้ำให้หมาดมากที่สุด จากนั้นก็เอาใส่ไม้แขนผ้าแขวนไว้ริมหน้าต่าง แล้วเปิดพัดลมใส่เสื้อผ้าเหล่านั้น หรือถ้าเป็นพัดลมแบบติดพนังก็ให้เอาเสื้อผ้ามาแขวนไว้หน้าพัดลม ให้ลมพัดโดนเสื้อผ้าได้ หากเป็นผ้าที่ไม่หนามากก็จะช่วยให้แห้งอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าผ้ายีนส์จะแห้งได้ค่อนข้างช้า หากจะใช้วิธีนี้ตอนซักผ้าควรใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มสูตรป้องกันกลิ่นอับด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เสื้อผ้าเกิดกลิ่นได้
5. ใช้เตารีดช่วย : เมื่อซักผ้าและปั่นแห้งเสร็จแล้ว ผ้าจะยังชื้นๆอยู่ให้เอาเตารีดมารีด โดยตอนรีดให้เอาผ้าขนหนูแห้งมาทับด้วย น้ำจะระเหยออกมาติดที่ผ้าขนหนู ตอนรัดไอน้ำจะเป็นควันขึ้นมา เสร็จและให้เอามาผึ่งซักพักหนึ่ง ผ้าก็จะแห้ง แต่ไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้กับผ้ายืดเพราะยางยืดจะเสื่อมสภาพได้

6. เบกกิ้งโซดา : เบกกิ้งโซดา หรือ ผงฟู  นอกจากจะช่วยขจัดคราบแล้ว ยังช่วยทำให้กลิ่นเหม็นอับทิ่ติดเสื้อผ้าหายไปได้  โดยการใส่เบกกิ้งโซดาลงไป 2 ช้อนชา จากนั้นตามด้วยผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่มตามปกติ เมื่อซักเสร็จตามขั้นตอนแล้วให้นำเสื้อผ้าออกไปตากแดด หรือถ้าไม่มีแดดในวันฝนตกสามารถตากในที่โล่งที่มีอากาศถ่ายเท วิธีนี้จะช่วยดับกลิ่นเหม็นอับของเสื้อผ้าได้
7. การซักด้วยน้ำร้อนและน้ำส้มสายชู : ซักผ้าด้วยการต้มผ้า โดยนำผ้าที่เหม็นอับใส่ลงไปหม้อ เทน้ำให้ท่วมผ้า แล้วใส่น้ำส้มสายชู อย่างละ 2-3 ฝา ปิดฝาหม้อแล้วจุดแก๊สใช้ไฟอ่อนซัก 30 นาที ครบแล้วตั้งหม้อทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงครึ่ง-2 ชั่วโมง แบบไม่ต้องปิดฝา เสร็จแล้วก็นำไปซักได้ตามปกติ ผ้าก็จะหายเหม็นทันที
8. ใช้เครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าเป็นตัวช่วย : ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ปัญหาเรื่องเสื้อผ้าไม่แห้ง และกลิ่นอับชื้น ที่มักจะเกิดตามมา ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป ด้วยการพัฒนาของวิวัฒนาการของเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าแห้ง ซึ่งมีหลายแบบหลากยี่ห้อให้เลือกซื้อหามาใช้ให้เหมาะกับแต่ละบ้านแต่ละครัวเรือน ตามขนาดของพื้นที่ และความถนัดในการใช้สอย 
9. เลือกใช้ผงซักฟอก และน้ำยาปรับผ้านุ่ม ที่ช่วยลดกลิ่นอับ : แม้จะมีเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าแห้งเป็นตัวช่วยแล้ว แต่การเลือกใช้ผงซักฟอก น้ำยาซักผ้า หรือน้ำยาปรับผ้านุ่ม เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการซักผ้า ร่วมกับเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าแห้ง ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยลดกลิ่นอับอันไม่พึงประสงค์ที่จะเกิดกับเสื้อผ้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งผงซักฟอก น้ำยาซักผ้า หรือน้ำยาปรับผ้านุ่ม ยังมีส่วนช่วยให้เสื้อผ้ามีกลิ่นหอม โดยปัจจุบันก็มีการพัฒนาผงซักฟอก น้ำยาซักผ้า หรือน้ำยาปรับผ้านุ่ม ออกมาหลากหลายรูปแบบ สามารถเลือกใช้ให้ตรงกับรุ่นหรือแบบของเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าแห้งได้อย่างสะดวกและง่ายดาย