"โรดริโก ดูเตอร์เต" ย้ำระหว่างเยือนญี่ปุ่น   "อเมริกันต้องถอนทหารออกจาก ฟิลิปปินส์ภายใน 2 ปี" (มีคลิป)

แม้ทางด้านผู้นำฟิลิปปินส์ ไม่ได้ตัดความสัมพันธ์กับสหรัฐ โดยตรง แต่ใช้คำว่าแยกทาง นั้นก็เชื่อได้ว่าหลังจากนี้ ทั้งสองประเทศคงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางทหารที่มีมายาวนานนั่นเอง

ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต แห่งฟิลิปปินส์ กล่าวย้ำขณะเยือนญี่ปุ่น  ต้องการให้อเมริกาถอนกำลังจากฟิลิปปินส์ภายใน 2 ปี และพร้อมยกเลิกข้อตกลงทางทหารกับมหามิตรเก่าแก่นี้ หากจำเป็น แต่ขณะเดียวกันเขาก็ยืนยันกับญี่ปุ่น ว่า การเยือนจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีเป้าหมายทางเศรษฐกิจเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับการทหารแม้แต่น้อย แถมบอกว่าเมื่อถึงเวลาจะยืนอยู่ฝ่ายญี่ปุ่นในกรณีพิพาททะเลจีนใต้
       
       ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต กล่าวในงานประชุมทางเศรษฐกิจกับพวกนักธุรกิจญี่ปุ่นในกรุงโตเกียว  โดยเขาได้กล่าวว่า ต้องการดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่เป็นอิสระ เขาจึงอยากให้ฟิลิปปินส์ปลอดจากกองทหารต่างชาติ โดยเขาต้องการให้ทหารเหล่านี้ออกไป ซึ่งอาจเป็นไปได้ใน 2 ปีหน้า และหากจำเป็น เขาก็พร้อมทบทวนหรือยกเลิกข้อตกลงที่มีฐานะเป็นข้อตกลงระหว่างฝ่ายบริหาร
       
       

ปัจจุบันกองทหารต่างชาติที่อยู่ในฟิลิปปินส์ มีเพียงกองทหารหน่วยรบพิเศษของอเมริกันจำนวนไม่มาก ประจำอยู่บนเกาะมินดาเนา ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ ก่อนหน้านี้ ดูเตอร์เต ได้เคยระบุชัดเจนกว่านี้ ว่า ต้องการให้อเมริกาถอนทหารออกจากมินดาเนา เนื่องจากทำให้สถานการณ์ตึงเครียด โดยบนเกาะดังกล่าวมีกลุ่มนักรบอิสลามที่ก่อความรุนแรงเพื่อแบ่งแยกดินแดนมานานหลายสิบปี



ขณะเดียวกัน ข้อตกลงทางการทหารที่ดูเตอร์เตพูดถึง ก็ดูจะหมายถึงข้อตกลงเพิ่มพูนความร่วมมือด้านกลาโหม (EDCA) ระหว่างฟิลิปปินส์ กับสหรัฐฯ ปี 2014 ซึ่งลงนามโดยรัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์ กับ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำกรุงมะนิลา ในเวลานั้น และไม่มีการเสนอให้รัฐสภารับรองให้สัตยาบัน จึงถือเป็นข้อตกลงของฝ่ายบริหาร
       
       อย่างไรก็ตาม เพอร์เฟ็กโต ยาเซย์ รัฐมนตรีต่างประเทศฟิลิปปินส์ ออกมาแถลงตามหลังเหมือนเช่นหลาย ๆ ครั้ง ว่า มะนิลาจะเคารพพันธะหน้าที่ตามสัญญาตราบที่ผลประโยชน์ร่วมของสองประเทศสอดคล้องต้องกัน และไม่มีเหตุผลที่จะต้องยกเลิกข้อตกลงต่าง ๆ ในขณะนี้แต่อย่างใด
       

       ขณะที่เยือนจีนนั้น ดูเตอร์เต แสดงท่าทีมุ่งปรับความสัมพันธ์กับจีน อย่างเต็มที่ โดยนอกจากไม่กดดันให้จีน ต้องปฏิบัติตามคำตัดสินเรื่องข้อพิพาททะเลจีนใต้ของศาลอนุญาโตตุลาการถาวรในกรุงเฮกแล้ว เขายังตกลงให้เปิดการเจรจาทวิภาคีกันใหม่กับฝ่ายจีน เพื่อแก้ไขข้อพิพาทที่มีระหว่างกัน ทำให้จีนพออกพอใจมาก และมีการยกเลิกข้อห้ามส่งกล้วยและสับปะรดของฟิลิปปินส์ไปขายในจีน รวมทั้งให้ความช่วยเหลือเงินกู้ดอกเบี้ยถูกเพื่อใช้ในโครงการพัฒนาต่าง ๆ แก่มะนิลา 9,000 ล้านดอลลาร์






             นอกจากนี้ทางผู้นำฟิลิปปินส์ ยังได้ พบปะหารือกับนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ดูเตอร์เต ได้กล่าว ซึ่งมีล่ามแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกทอดหนึ่ง ว่า เมื่อถึงเวลาเขาจะยืนอยู่ข้างญี่ปุ่นในเรื่องความขัดแย้งในทะเลจีนใต้
       
       ภายหลังการหารือแล้ว ดูเตอร์เต ได้แถลงโดยเรียกญี่ปุ่นว่า เป็น มิตรพิเศษผู้มีความใกล้ชิดกันยิ่งกว่าพี่น้อง พร้อมกับบอกว่า ฟิลิปปินส์ จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับญี่ปุ่นในประเด็นปัญหาระดับภูมิภาคที่มีความสนใจร่วมกัน และยึดมั่นในค่านิยมของประชาธิปไตย, หลักนิติธรรม และการตกลงข้อพิพาทกันอย่างสันติ ซึ่งก็รวมทั้งทะเลจีนใต้ด้วย
       
       

นอกจากนั้นแล้วผู้นำฟิลิปปินส์ยังได้พูดถึงเกี่ยวกับการเยือนกรุงมะนิลาของนายแดเนียล รัสเซลล์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐด้านกิจการเอเชียและแปซิฟิก ว่าตราบใดที่เขายังอยู่ในตำแหน่งผู้นำฟิลิปปินส์ ขอให้รัฐบาลสหรัฐ ลืมไปได้เลย เรื่องข้อตกลงความร่วมมือด้านกลาโหม ( อีดีซีเอ ) ที่ลงนามร่วมกันเมื่อปี 2557 ในสมัยของประธานาธิบดีเบนิกโน อาคีโน พร้อมทั้งประกาศว่าทหารที่จะสามารถประจำการอยู่ในประเทศได้ต้องเป็นทหารฟิลิปปินส์เท่านั้นขณะเดียวกัน ดูเตร์เตยังกล่าวถึงพาดหัวข่าวของสื่อทุกแห่งในประเทศ ที่อ้างคำกล่าวของรัสเซลล์ว่า "ดูเตร์เตสร้างบรรยากาศไม่มั่นคงและสับสนไปทั่วทั้งภูมิภาคโดยเฉพาะต่อภาคธุรกิจ" และยังวิจารณ์นโยบายสงครามปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลมะนิลาชุดปัจจุบัน ที่มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 3,700 คนนับตั้งแต่ปลายเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา ว่า "ใครที่ไม่พอใจกับเรื่องนี้เชิญเก็บกระเป๋าแล้วออกไป เพราะฟิลิปปินส์จะฟื้นฟูตัวเองนับจากนี้" และตำหนิรัสเซลล์พร้อมคณะว่า "'งี่เง่า"

        ดังนั้นเวลานี้ แม้ทางด้านผู้นำฟิลิปปินส์ ไม่ได้ตัดความสัมพันธ์กับสหรัฐ โดยตรง แต่ใช้คำว่าแยกทาง นั้นก็เชื่อได้ว่าหลังจากนี้ ทั้งสองประเทศคงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางทหารที่มีมายาวนานนั่นเอง


สถาพร เกื้อสกุล