"ดูเตอร์เต" ซัดหนัก "สหรัฐฯ" อีกรอบ กรณีไม่ขายปืนไรเฟิล พร้อมย้ำ หันซื้ออาวุูธจากจีน และ รัสเซีย

ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต ของฟิลิปปินส์ ออกมาด่าสหรัฐฯ อีกครั้งในวันพุธที่ผ่านมา

สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้รายงานว่า ทางด้าน ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต ของฟิลิปปินส์ ออกมาด่าสหรัฐฯ อีกครั้งในวันพุธที่ผ่านมา คราวนี้เกี่ยวกับกรณีที่สหรัฐฯ ระงับแผนการขายปืนไรเฟิลจำนวน 26,000 กระบอกให้กับประเทศของเขา โดยเรียกพวกที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจดังกล่าวว่า "โง่" และ "พวกลิงกัง" ทั้งยังบอกว่าฟิลิปปินส์ เองก็สามารถผลิตปืนได้เองอีกมากมาย ทั้งนี้ ก็บอกว่าพร้อมที่จะหันไปหาอาวุธจากรัสเซียหรือไม่ก็จีนแทน
       
       
ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต ของฟิลิปปินส์  ออกมาด่าทอ อดีตเจ้าอาณานิคมเป็นประจำ และในวันพุธ เขาบอกว่าครั้งหนึ่งตนเองเคยเชื่อในสหรัฐฯ ทว่านับตั้งแต่นั้นได้สูญเสียความเคารพต่อพันธมิตรใหญ่ที่สุดของฟิลิปปินส์ไปแล้ว
       
       
หลังจากส.ว. เบน คาร์ดิน หนึ่งในคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศประจำสภาสูงสหรัฐฯ   ได้ออกมาแจ้งว่า กระทรวงการต่างประเทศ ตัดสินใจระงับการขายอาวุธปืนไรเฟิลให้กับฟิลิปปินส์  เพราะเกรงว่าทางด้านฟิลิปปินส์ จะนำไปใช้ในการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสงครามยาเสพติด     
 


   
       
       
       
      

 จากข้อมูลของเหล่าผู้ผลิตในสหรัฐฯ  กระทรวงการต่างประเทศต้องแจ้งต่อสภาคองเกรสเมื่ออยู่ระหว่างขั้นตอนดำเนินการขายอาวุธระหว่างประเทศ ซึ่งในกรณีนี้แหล่งข่าวผู้ช่วยวุฒิสมาชิกสหรัฐฯเผยว่าทางกระทรวงการต่างประเทศได้รับแจ้งจากส.ว. เบน คาร์ดิน ว่าเขาจะคัดค้านและหยุดข้อตกลงการขายอาวุธ ในช่วงระหว่างที่กระทรวงเข้าแถลงต่อรัฐสภา (pre-notification process) ตามข้อตกลงคำสั่งซื้อปืนไรเฟิล และดังนั้นการขายก็จะถูกระงับ
       
              
       โรนัลด์ เดลา โรซา ผู้บัญชาการตำรวจฟิลิปปินส์ ก็ออกมาแสดงความผิดหวังกรณีที่ตำรวจจะไม่ได้ปืนไรเฟิล M4 ที่เขาบอกว่าไว้วางใจได้      ทั้งนี้ทางด้านผู้นำฟิลิปปินส์ ก็ย้ำว่ารัสเซียและจีน แสดงความตั้งใจที่จะขายอาวุธแก่ฟิลิปปินส์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาจะรอดูว่ากองทัพของเขาต้องการใช้อาวุธของสหรัฐฯ ต่อไปหรือไม่
       
      
       

 

"ดูเตอร์เต" ซัดหนัก "สหรัฐฯ" อีกรอบ กรณีไม่ขายปืนไรเฟิล พร้อมย้ำ หันซื้ออาวุูธจากจีน และ รัสเซีย

 

เรียบเรียงโดย สถาพร สำนักข่าวทีนิวส์
ขอบคุณข้อมูลจาก Reuter