จีน รัสเซีย ขานรับ "ประธานาธิบดีเพื่อทุกคน"  โดนัลด์ ทรัมป์

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรครีพับลิกัน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 กล่าวปราศรัยต่อกลุ่มผู้สนับสนุนที่ศูนย์การเลือกตั้งของตัวเองในนครนิวยอร์ก

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรครีพับลิกัน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 กล่าวปราศรัยต่อกลุ่มผู้สนับสนุนที่ศูนย์การเลือกตั้งของตัวเองในนครนิวยอร์ก  หลังสร้างประวัติศาสตร์คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ด้วยจำนวนคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 288 เสียง เกินเกณฑ์ขั้นต่ำคืออย่างน้อย 270 เสียง จาก 28 รัฐ คิดเป็นอย่างน้อย 57,265,848 คะแนน ขณะที่คู่แข่งคนสำคัญคือนางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ได้คณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 215 เสียง จาก 18 รัฐ คิดเป็นอย่างน้อย 56,339,307 คะแนน 

 

ทรัมป์ มหาเศรษฐีนักลงทุนวัย 70 ปี ซึ่งถือเป็นผู้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐด้วยวัยสูงที่สุด กล่าวให้คำมั่นพร้อมเป็นประธานาธิบดี "สำหรับชาวอเมริกันทุกคน" และจะรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับพันธมิตรทุกประเทศ "ด้วยความเท่าเทียมกัน" พร้อมทั้งยืนยันจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถ ร่วมกับนายไมค์ เพนซ์ ผู้สมัครร่วมในตำแหน่งรองประธานาธิบดี 
 

จีน รัสเซีย ขานรับ "ประธานาธิบดีเพื่อทุกคน"  โดนัลด์ ทรัมป์


ชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ของทรัมป์ซึ่งไม่เคยผ่านประสบการณ์การเมืองมาก่อน เป็นผลจากการสามารถเก็บชัยชนะในรัฐสำคัญหรือ "สวิงสเตท" ได้เกือบทั้งหมด ที่รวมถึงรัฐฟลอริดา ซึ่งมีคณะผู้เลือกตั้ง 29 คน รัฐโอไฮโอ ซึ่งมีคณะผู้เลือกตั้ง 18 คน และถือเป็นรัฐที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในทางสถิติของการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ เนื่องจากไม่เคยมีผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันคนใดคว้าชัยชนะได้โดยไม่ชนะที่รัฐโอไฮโอ และทรัมป์ยังสามารถเก็บชัยชนะได้ที่รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งมีคณะผู้เลือกตั้ง 20 คน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี ที่ตัวแทนพรรครีพับลิกันสามารถคว้าชัยชนะได้ในรัฐนี้ หรือนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน เมื่อปี 2531 และทรัมป์ยังสามารถเก็บชัยชนะในรัฐวิสคอนซินสำหรับพรรครีพับลิกันเป็นครั้งแรกในรอบ 32 ปีอีกด้วย ซึ่งมีคณะผู้เลือกตั้ง 10 คน

 

ด้านกระทรวงการต่างประเทศจีนและกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียออกแถลงการณ์ "แสดงความพร้อมและยินดี" ทำงานร่วมกับประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ขณะที่ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เต ผู้นำฟิลิปปินส์ กล่าว "เฝ้ารอ" การได้ร่วมงานกับผู้นำสหรัฐคนต่อไป ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับฟิลิปปินส์กำลัง "ตึงเครียด" จากนโยบาย "ตีตนออกห่าง" ของดูเตร์เต

ทรัมป์จะเข้าทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 อย่างเป็นทางการ ต่อจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในวันที่ 20 ม.ค. 2560 ดังนั้นคงต้องดูว่านโยบายต่าง ๆ ที่เขาเคยสัญญาเอาไว้ จะทำได้จริงหรือไม่ และ เมื่อเขาเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ จะใช้ความเป็นนักบริหาร และนักธุรกิจ เข้ามาวางสมดุลของประเทศได้อย่างไร บอกได้เลยว่างานนี้ ไม่หมู



 

เรียบเรียงโดย สถาพร สำนักข่าวทีนิวส์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก CNN