- 10 พ.ย. 2559
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้ส่งสารแสดงความยินดีกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ทันที และสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐหลายสำนัก ปรับเปลี่ยนการรายงานข่าวเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างโกงการเลือกตั้ง หันมายกย่องว่าเป็นชัยชนะของ
สำนักข่าวบีบีซี ได้รายงานว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้ส่งสารแสดงความยินดีกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ทันที และสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐหลายสำนัก ปรับเปลี่ยนการรายงานข่าวเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างโกงการเลือกตั้ง หันมายกย่องว่าเป็นชัยชนะของ "คนของประชาชน"
ชัดเจนว่าชัยชนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นที่ยินดีปรีดาในรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐสภา ซึ่งทันทีที่ส.ส.รายหนึ่งของพูดแทรกระหว่างการประชุม ขอแจ้งข่าวเกี่ยวกับความพ่ายแพ้ของนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครจากเดโมแครต เหล่าเพื่อนสมาชิกก็ต่างปรับมือแสดงความยินดีกับข่าวดังกล่าว
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เป็นหนึ่งในบรรดาผู้นำโลกที่แสดงความยินดีกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ โดยหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถทำงานร่วมกันเพื่อยุติวิกฤตในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและรัสเซีย นอกจากนี้เขายังเรียกร้องให้มีการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ บนพื้นฐานแห่งความเคารพซึ่งกันและกันและมองถึงผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายอย่างแท้จริง
สหรัฐฯกล่าวหารัสเซียว่าบ่อนทำลายการเลือกตั้งของอเมริกา ผ่านการโจมตีทางไซเบอร์ โดยมีเป้าหมายที่การหาเสียงของนางฮิลลารี คลินตัน
ความเกลียดชังต่อนางฮิลลารี คลินตัน ฝังรากลึกในรัสเซีย ด้วยเมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ เธอวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อศึกเลือกตั้งรัฐสภารัสเซียในปี 2011 กระตุ้นให้ ปูติน กล่าวหาเธอเป็นผู้ปลุกระดมให้มีการประท้วงใหญ่ต่อต้านเขาตามหลังการเลือกตั้งคราวนั้น
ในส่วนของสื่อมวลชนรัสเซียรายงานข่าวการหาเสียงของเธอในแง่ลบ พร้อมวาดภาพเธอว่าเป็นพวก Russophobe (อาการหวาดกลัวตื่นตะหนะหนก หวาดผวา มีอคติ และมีแนวความคิดในแง่ลบต่อรัสเซีย) อาชญากรและคนโกหก
"คลินตันจะปิดล้อมเราด้วยขีปนาวุธ ทรัมป์จะรับรองไครเมีย" พาดหัวของหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ของรัสเซียฉบับหนึ่ง
เซอร์เก มาร์คอฟ นักวิเคราะห์ฝักใฝ่เครมลินบอกกับบีบีซี ว่า "เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ความสัมพันธ์กับรัสเซียจะดีขึ้น และหยุดสงครามเย็นเทียม ซึ่งวอชิงตันและลอนดอนพยายามผลักใส่โลก" เขากล่าว "เรายินดีที่ประธานาธิบดีคนใหม่เป็นโดนัลด์ ทรัมป์ เขาเคารพปูตินและยอมรับว่าไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย"
เรียบเรียงโดย สถาพร สำนักข่าวทีนิวส์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก BBC News