เซ็กซี่เวอร์ แซ่บทุกรูขุมขน!! ว่าที่สตรีหมายเลขหนึ่ง สหรัฐฯ "เมลาเนีย ทรัมป์" (รวมภาพ)

เวลานี้นอกจากทั่วโลกจะจับตามอง ผู้นำสหรัฐฯ ป้ายแดง อย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ แล้ว สิ่งที่ทั่วโลก จับจ้องไม่แพ้กันนั่นคือ ว่าที่สตรีหมายเลขหนึ่ง ของสหรัฐอเมริกา เป็นใครไปเสียไม่ได้ นั่นคือ "เมลาเนีย ทรัมป์" ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา เชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านอยากรู้ว่า เธอ เป็นใคร มาจากไหน เพราะเธอไม่ใช่ภรรยาคนแรก ของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐี วัย 70 ปี แต่เธอเป็นภรรยาคนที่ 3 ของเขา และที่น่าสนใจกว่านั้นเธอไม่ใช่คนอเมริกัน โดยกำเนิด

เมลาเนีย ทรัมป์  สกุลเดิม คเนาส์ เป็นบุตรสาวของนายหน้าขายรถยนต์และช่างตัดเย็บ เกิดและเติบโตขึ้นในเมืองโนโว เมสโต ของยูโกสลาเวีย  ในยุคสมัยที่ยังมีระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ปัจจุบันแยกประเทศออกมาเป็นสโลเวเนีย เธอมีน้องสาวหนึ่งคนและน้องชายต่างมารดาอีกหนึ่งคน
       
       เมลาเนีย เรียนในมหาวิทยาลัยลุบยานา ได้แค่ปีเดียว ก็ออกมาทำงานในเส้นทางนางแบบอาชีพ  เวทีนางแบบของเธอ นั้นผ่านมาอย่างโชกโชน ไม่ว่า มิลาน และปารีส   เธอจึงไปแสวงหาโชคใน นิวยอร์ก โยกย้ายถิ่นฐานไปสหรัฐอเมริกา ตอนอายุ 26 ปี ด้วยวีซ่าสำหรับชาวต่างชาติผู้มีความสามารถพิเศษเธอยื่นเรื่องขอกรีนการ์ดไว้ตั้งแต่ปี 2001 ด้วยคุณสมบัตินางแบบที่มีความสามารถพิเศ่ษ

 

เดือนกันยายน 1998 เธอทำความรู้จักกับโดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างสัปดาห์แฟชั่นที่นิวยอร์ก หลังจากสานสัมพันธ์ กันถึงเจ็ด จึงได้ตกลงปลงใจแต่งงานกันอย่างใหญ่โต หลังจากนั้นเธอให้กำเนิดบุตรชาย-บาร์รอน วิลเลียม ทรัมป์

ซึ่งแน่นอนว่าเวลานี้ เธอกำลังจะกลายเป็นสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ ซึ่งถูกจับตามองอย่างยิ่ง เพราะการใช้ชีวิตบนวิธีแฟชั่นของเธอเองนั้น ก็สร้างผลงานเอาไว้มากมาย และ ที่สำคัญเธอเป็นสตรี ผู้อพยพ คนแรกที่จะก้าวขึันรับตำแหน่งสำคัญนี้

 

ว่าที่สุภาพสตรีหมายเลข 1 คนใหม่ของสหรัฐ ไม่ได้มีดีแค่ความสวยเท่านั้น แต่เธอยังสนใจเรื่องธุรกิจทั้งที่มีเงินใช้มากมายอยู่แล้ว เธอยังดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ขององค์กรอาหาร สำหรับผู้ยากจนแห่งรัฐฟลอริดาด้วย

ต้องรอชมกันว่า ภายใน 4 ปีข้างหน้านี้ เมลาเนีย ว่าที่สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐ จะใช้ภาพลักษณ์ “ด้านอ่อน” ด้วยบุคลิกอันสง่างามของเธอ เติมเต็ม “ด้านแข็งกร้าวและโผงผาง” ของทรัมป์ ว่าที่ผู้นำสหรัฐ จนกลายเป็นคู่รักผู้นำประเทศที่โดดเด่นในเวทีโลกได้หรือไม่

 

 

เรียบเรียงโดย สถาพร สำนักข่าวทีนิวส์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก GQ Magazine, New York Post