- 12 พ.ย. 2559
เฟซบุ๊กถูกวิพากษ์วิจารณ์เผยแพร่ข่าวเท็จช่วยให้นายโดนัลด ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
สำนักข่าวบีบีซี ได้รายงานข่าวว่า เฟซบุ๊กถูกวิพากษ์วิจารณ์เผยแพร่ข่าวเท็จช่วยให้นายโดนัลด ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
โดยล่าสุด มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ได้กล่าว ณ เวทีสัมมนาทางเทคโนโลยี ในแคลิฟอร์เนีย โดย ระบุว่าเฟซบุ๊กไม่ควรต้องรับผิดชอบกับผลการเลือกตั้ง "ความคิดที่ว่าข่าวเท็จบนบนเฟซบุ๊กมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้ง มันเป็นความคิดที่บ้ามาก"
ข้อมูลบางส่วนแสดงให้เห็นว่าเรื่องราวเท็จมักมีการแชร์ต่อกันอย่างกว้างขวางบนเฟซบุ๊ก จากนั้นก็จะตามด้วยเรื่องราวต่างๆที่จะมาหักล้างคำกล่าวอ้างเหล่านั้น
เฟซบุ๊กกำลังกลายเป็นแหล่งข้อมูลของการรายงานข่าว เนื่องจากมีผู้ใช้จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะชาวอเมริกัน
ฟีดข่าวของเฟซบุ๊กออกแบบอย่างเจาะจงให้แสดงเนื้อหาที่คิดว่าผู้ใช้ให้ความสนใจมากที่สุด ซึ่งมันก่อสิ่งที่เรียกว่า "filter bubble" หรือฟองสบู่ที่กรองข้อมูลให้ผู้ใช้ ซึ่งจะเสริมมุมมองแก่บุคคลหนึ่งๆโดยไม่ได้ให้ความเห็นที่แตกต่างเลย
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นปี เฟซบุ๊กถูกกล่าวหาว่าต่อต้าน นายโดนัลด์ ทรัมป์ หลังมีคำกล่าวอ้างว่าพวกผู้ดูแลที่เป็นมนุษย์ของสื่อออนไลน์แห่งนี้ ชื่นชอบเรื่องราวเสรีนิยมและมันมักปรากฎอยู่ในหมวด trending stories ของผู้ใช้
แม้พวกเขาได้ปฏิเสธ แต่ทางเฟซบุ๊กได้ปลดคณะทำงานที่เป็นมนุษย์ และหันไปพึ่งพิงแต่โปรแกรมเพียงอย่างเดียว เพื่อสรุปว่าเรื่องราวไหนควรอยู่ในหมวดยอดนิยม ทว่าผลก็คือเรื่องราวอันเป็นเท็จมักปรากฎอยู่ในไทม์ไลน์ของผู้ใช้จำนวนมาก
ตั้งแต่นางฮิลลารี คลินตัน ยอมรับการแข่งขันที่ว่าแพ้การเลือกตั้งให้แก่นายโดนัลด์ ทรัมป์ บางคนกล่าวโทษเฟซบุ๊กว่าเผยแพร่เรื่องราวเท็จที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบจากการเลือกตั้ง
ส่วนทางด้าน นายแฮร์รี รีด ผู้นำเดโมแครตในวุฒิสภา ได้ออกถ้อยแถลง แสดงความคับแค้นใจต่อชัยชนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุมันถูกปลุกใจจากพลังแห่งความเกลียดชังและดื้อรั้น ขณะที่ประเทศถูกครอบงำไปด้วยความหวาดกลัว
"พวกชาตินิยมผิวขาว วลาดิมีร์ ปูตินและไอเอส กำลังเฉลิมฉลองชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ส่วนชาวอเมริกาผิวขาวใสซื่อที่เคารพกฎหมาย อเมริกันชนกำลังหวาดผวา โดยเฉพาะชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา อเมริกันละตินและอเมริกันมุสลิม กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศอเมริกาและอเมริกันเอเชีย ขณะที่พวกชาตินิยมกำลังเฉลิมฉลอง อเมริกันชนผู้ใสซื่อกำลังน้ำตาซึมจากความกลัว รู้สึกว่าเหมือนมันไม่ใช่อเมริกา"
ในท่อนท้ายๆของถ้อยแถลง นายแฮร์รี่ รีด เรียก โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าพวกนักล่าทางเพศที่แพ้ popular vote(คะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิออกเสียง) และโหมกระพือการหาเสียงด้วยความดันทุรังและความเกลียดชัง
"ชัยชนะจากคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง ไม่ใช่การให้อภัยนายทรัมป์จากบาปที่เขาก่อกับอเมริกันหลายล้านคน โดนัลด์ ทรัมป์ อาจไม่มีความสามารถในการบรรเทาความกลัวเหล่านั้น แต่เขาติดหนี้ประเทศแห่งนี้ในการพยายามลงมือทำ หากทรัมป์ต้องการถอนความเกลียดชังที่เขาปลดปล่อยออกมากลับไป เขามีงานมหึมาที่ต้องทำและต้องเริ่มต้นในทันที"
ขณะที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 ทวีตข้อความผ่านบัญชีทวิตเตอร์ส่วนตัว @RealDonaldTrump ว่า "เพิ่งผ่านพ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่โปร่งใสและประสบความสำเร็จมาได้ไม่นาน แต่ตอนนี้ "ผู้ประท้วงมืออาชีพ" ซึ่งได้รับการปลุกระดมจากสื่อ กำลังเดินขบวนกันไปทั่ว ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!"
การชุมนุมประท้วงแสดงความต่อต้านและไม่ยอมรับ โดนัลด์ ทรัมป์ เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่งโมงหลังหลังผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา ปรากฏว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน พลิกเอาชนะนางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนของพรรคเดโมแครต ด้วยคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 290 ต่อ 228 เสียง เกินเกณฑ์ขั้นต่ำคืออย่างน้อย 270 จากทั้งหมด 538 เสียง โดยสถานการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามเมืองใหญ่หลายแห่งในประเทศ โดยในฝั่งตะวันออกเกิดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน เมืองบิลติมอร์ เมืองฟิลาเดลเฟีย และนครนิวยอร์ก ขณะที่สถานการณ์ชุมนุมประท้วงในฝั่งตะวันตกส่วนใหญ่อยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเกิดขึ้นในนครลอสแอนเจลิส เมืองซานฟรานซิสโก และเมืองโอ๊คแลนด์
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ประท้วงที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวซึ่งยังเป็นนักศึกษาและนักเรียนมัธยมปลาย ปิดกั้นการจราจรบนถนนหลายสาย ทุบทำลายกระจกร้านค้าและรถยนต์ พ่นสีสเปรย์ตามกำแพง และจุดไฟเผาทำลายทรัพย์สินหลายรายการรวมถึงธงชาติสหรัฐ อีกทั้งมีการปะทะคารมกับตำรวจในเครื่องแบบที่มาควบคุมสถานการณ์ ส่งผลให้เกิดการปะทะกันอย่างหนักกับเจ้าหน้าที่ในหลายพื้นที่ มีผู้ได้รับบาดเจ็บและถูกจับกุมเป็นจำนวนมาก ด้านสำนักงานตำรวจนครนิวยอร์ก ( เอ็นวายพีดี ) เพิ่มการวางกำลังรักษาความปลอดภัยหน้าอาคาร "ทรัมป์ ทาวเวอร์" ซึ่งเป็นสำนักงานและบ้านพักของทรัมป์และครอบครัว ที่สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐ ( เอฟเอเอ ) ประกาศให้เป็น "เขตห้ามบิน" จนกว่าทรัมป์จะผ่านการสาบานตนรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในวันที่ 20 ม.ค. ปีหน้า และย้ายเข้าสู่ทำเนียบขาว
เรียบเรียงโดย สถาพร สำนักข่าวทีนิวส์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก BBC , Reuter