"ฟิลิปปินส์" ยอมซ้อมรบร่วม "สหรัฐฯ" ภายใต้รหัส "บาลานซ์ พิสตัน" แต่ งดใช้กระสุนจริง ลดจำนวนทหาร

พ.อ.เบนจามิน เฮา โฆษกกองทัพบกฟิลิปปินส์ แถลงเมื่อวันอังคาร ถึงการซ้อมรบร่วมภายใต้รหัส บาลานซ์ พิสตัน (Balance Piston)

สำนักข่าวเอเอฟพี ได้รายงาน จากประเทศฟิลิปปินส์ ว่า ทางด้าน พ.อ.เบนจามิน เฮา โฆษกกองทัพบกฟิลิปปินส์ แถลงเมื่อวันอังคาร ถึงการซ้อมรบร่วมภายใต้รหัส บาลานซ์ พิสตัน (Balance Piston) จะเริ่มขึ้นที่จังหวัดปาลาวัน ทางภาคตะวันตก ทั้งสองฝ่ายตกลงจะไม่ใช้กระสุนจริงในภาคสนาม ระหว่างการซ้อมนานนับเดือน

 

 

"ฟิลิปปินส์" ยอมซ้อมรบร่วม "สหรัฐฯ" ภายใต้รหัส "บาลานซ์ พิสตัน" แต่ งดใช้กระสุนจริง ลดจำนวนทหาร
    
    

พ.อ.เบนจามิน เฮา ไม่ได้ให้เหตุผลของการไม่ใช้กระสุนจริง ซึ่งแต่เดิมมาถือเป็นรจุดเด่นของการซ้อมรบรายการนี้ แต่กระทรวงกลาโหมฟิลิปปินส์แถลงก่อนหน้านี้ว่า ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต ต้องการให้ยุติการฝึกซ้อมจู่โจมแบบโจ่งแจ้ง

 

การซ้อมแม่นปืนจะมีต่อไป แต่จำกัดอยู่ในค่ายทหาร การซ้อมยังจะรวมถึง การจำลองเหตุการณ์สกัดกั้นการรุกรานทางทะเล การดูแลทหารที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ และการฝึกซ้อมว่ายน้ำในการรบ พ.อ.เบนจามิน เฮา กล่าวต่ออีกว่า ทหารหน่วยรบพิเศษฟิลิปปินส์ 40 นายจะเข้าร่วมการฝึกซ้อม แต่ปฏิเสธที่จะระบุจำนวนของทหารฝ่ายสหรัฐฯ

 


    ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ซึ่งแสดงความเป็นพอใจต่อสหรัฐฯ  หลังถูกสหรัฐฯโจมตีปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรมและยาเสพติด ประกาศต่อสาธารณชนว่าเขาจะยุติการซ้อมรบร่วมทุกรายการกับสหรัฐฯ แต่ต่อมาได้กลับคำพูด สร้างความสับสนในกลุ่มชาวฟิลิปปินส์ และเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 

 

 

 

ผู้นำฟิลิปปินส์  กล่าวว่า การซ้อมรบสหรัฐฯ ได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว และการซ้อมอาจทำให้จีนไม่พอใจ ทั้งนี้ สหรัฐฯ และฟิลิปปินส์เป็นพันธมิตรสนธิสัญญา แต่ทางด้านผู้นำฟิลิปปินส์ นั้นก็แสดงความปรารถนาที่จะขยายความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับจีนและรัสเซีย

 


    เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมฟิลิปปินส์เผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ผู้นำฟิลิปปินส์ ตกลงอนุญาตให้การซ้อมรบกับสหรัฐฯดำเนินต่อไป ด้วยจำนวนทหารที่น้อยลง หลังจากเจ้าหน้าที่กระทรวงได้อธิบายให้เขาฟังถึงผลประโยชน์ที่ฟิลิปปินส์จะได้รับ จากการซ้อมร่วมรายการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการซ้อมเพื่อตอบสนองต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ เนื่องจากฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีแนวโน้มประสบภัยด้านนี้มากที่สุดในโลก

 

 

เรียบเรียงโดย สถาพร สำนักข่าวทีนิวส์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก AFP