เจ๋งจริง!! ทำงาน 3 เดือน "ดูเตอร์เต" พาเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ โตแซง "จีน"

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจของ ว่าขณะนี้ ฟิลิปปินส์กลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในกลุ่มชาติกำลังพัฒนาเอเชีย หลังจากประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต เข้าบริหารประเทศได้เพียง 3 เดือน 
       
       โรสแมรี อีดิลลอน ปลัดกระทรวงการวางแผนเศรษฐกิจ ระบุว่า เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ในไตรมาสสาม (ก.ค.-ก.ย.) ขยายตัว 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า สูงกว่าตัวเลข 6.8% ที่ได้คาดการณ์ไว้ และแซงหน้ามหาอำนาจอย่าง “จีน” ที่มีอัตราการขยายตัวเพียง 6.7% ในช่วงเวลาดังกล่าว 
       

       
      

 ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจต่างตกตะลึงกับตัวเลขการเติบโตที่สูงเกินคาด ทั้งที่นโยบายกวาดล้างยาเสพติดของผู้นำฟิลิปปินส์ รวมถึงการที่เขาตอบโต้เสียงวิจารณ์ของสหรัฐฯ และองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) อย่างก้าวร้าว ได้สร้างความหวั่นวิตกแก่นักลงทุนต่างชาติ   ปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นการเติบโต เช่น มูลค่าการลงทุนที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะในภาคการก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐาน ดัชนีผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่ยังคงต่ำ
       
       มูลค่าการส่งออกของฟิลิปปินส์ในไตรมาสสามก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 7.8%
       
       แม้เงินเดือนที่แรงงานฟิลิปปินส์ในต่างประเทศส่งกลับบ้านเกิดจะลดลง แต่ก็มีรายได้จากภาคการเกษตรที่ขยายตัว 2.9% มาช่วยทดแทน ซึ่งก่อนหน้านั้น ภาคเกษตรกรรมของฟิลิปปินส์เคยประสบภาวะซบเซาติดต่อกันถึง 5 ไตรมาส เนื่องจากอิทธิพลของไต้ฝุ่นและภัยแล้ง

ซึ่งสวนทางกับทิศทางของตลาดเงิน และตลาดหุ้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฟิลิปปินส์ซึ่งอยู่ในกรอบซบเซาที่สุดในรอบ 7 เดือนปรับตัวเพิ่มขึ้น 1%  ขณะที่ค่าเงินเปโซยังแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปี ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นผลมาจากปัจจัยทางการเมือง และความคาดหมายว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วๆ นี้
       
       เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 0.2% มาอยู่ที่ระดับ 49.40 เปโซต่อ 1 ดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์เตือนว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะขยับขึ้นไปถึง 50 เปโซต่อ 1 ดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี
       
       สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (S&P) ได้เตือนไว้เมื่อเดือน ก.ย. ว่า สงครามกวาดล้างอาชญากรรมของ ดูเตอร์เต เสี่ยงที่จะบั่นทอนเศรษฐกิจและทำลายสถาบันประชาธิปไตยในฟิลิปปินส์

 

 

 

เรียบเรียงโดย สถาพร สำนักข่าวทีนิวส์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก AFP