"เจมส์ ไพเดอร์" ฝรั่งหัวใจไทย เดินทางเข้าถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

นายเจมส์ ไพเดอร์ อายุ 53 ปี ชาวอังกฤษซึ่งย้ายถิ่นฐานปักหลักอยู่ในประเทศไทย จังหวัดบุรีรัมย์ นาน 15 ปี เพราะความรักในบรรยากาศสบายแบบไทย ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม อากาศ และอาหารไทย

วันที่ 19 พฤศจิกายน 2559  บรรยากาศการเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง มีพสกนิกรชาวไทย รวมทั้งชาวต่างชาติ ที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ล้วนตั้งใจเดินทางมายังบริเวณท้องสนามหลวงเพื่อต่อแถวเข้าถวายสักการะพระบรมศพ โดยสำนักพระราชวังเปิดให้พสกนิกรเข้าถวายสักการะก่อนเวลาจริงตั้งแต่เวลา 05.00 น. ผ่านทางประตูวิเศษไชยศรี ผ่านประตูพิมานไชยศรี ผ่านพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เข้าสู่กำแพงแก้วของพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเพื่อขึ้นไปถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ และเดินออกทางประตูสรีสุนทร และประตูเทวาภิรมย์



       
       

"เจมส์ ไพเดอร์" ฝรั่งหัวใจไทย เดินทางเข้าถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

 

 

ซึ่งวันนี้ มีชาวอังกฤษ อย่าง นายเจมส์ ไพเดอร์ อายุ 53 ปี ชาวอังกฤษซึ่งย้ายถิ่นฐานปักหลักอยู่ในประเทศไทย จังหวัดบุรีรัมย์ นาน 15 ปี เพราะความรักในบรรยากาศสบายแบบไทย ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม อากาศ และอาหารไทย เดินทางมาพร้อมกับภรรยา นางสาวจารุณี ทองด้วง อายุ 37 ปี เล่าว่า ตั้งใจเดินทางมาสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพราะที่ประเทศอังกฤษมีสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็มีกษัตริย์ และตลอดเวลาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ก็ได้รู้จักพระองค์ผ่านการทรงงานในด้านต่างๆ มาตลอด 70 ปี ทั้งโครงการพระราชดำริ, เสด็จฯเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร โดยเฉพาะในภาคอีสาน นอกจากนี้ ยังไม่ใช่แค่โครงการพระราชดำริต่างๆ แต่ยังมีพระบรมราโชวาท รวมถึงภูมิปัญญาต่างๆ เวลาที่พระองค์ทรงสอนสิ่งใดประชาชนก็จะปฏิบัติตาม ทำให้ได้เห็นถึงความรักความผูกพันระหว่างสถาบันกษัตริย์กับประชาชนได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ วันนี้ มีการการปรับเปลี่ยนจุดเข้าแถว เพื่อเข้ากราบสักการะพระบรมศพ นายเจมส์ ไพเดอร์ กล่าวว่า ได้เห็นข่าวจากในทีวีมาบ้างเหมือนกัน แต่เมื่อตั้งใจมาแล้วก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากการต่อคิวและรอ โดยตนเองเดินทางมาจากจังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งแต่เมื่อวานนี้ แล้วเข้าพักแถวเขตดุสิต จากนั้นในช่วงเช้าจึงเดินทางมาที่สนามหลวงตอนเวลา 05.00 น. ก่อนได้เข้าสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในช่วงสาย ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่เร็วดี โดยเฉพาะระบบการจัดการข้างในพระบรมมหาราชวังนั้นการจัดการรวดเร็วยอดเยี่ยมมาก


เรียบเรียงโดย สถาพร สำนักข่าวทีนิวส์