เครือเจริญโภคภัณฑ์บริษัทข้ามชาติแห่งแรกในจีนจดทะเบียนการค้าหมายเลข 0001 ชี้เส้นทางสายไหมเต็มไปด้วยโอกาสอย่างไร้ขีดจำกัด

“นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์” เปิดมุมมองที่มีต่อโครงการระดับโลกแห่งศตวรรษ One Belt One Road เส้นทางสายไหมใหม่

สำนักข่าวซินหัว แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สัมภาษณ์พิเศษ “นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์” ในฐานะนักลงทุนต่างชาติผู้บุกเบิกการลงทุนในจีน เปิดมุมมองที่มีต่อโครงการระดับโลกแห่งศตวรรษ One Belt One Road เส้นทางสายไหมใหม่ โดยนายธนินท์เชื่อมั่นว่าการลงทุนครั้งใหญ่จากแดนมังกรจะช่วยเชื่อมและขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกประเทศไทยไม่ควรพลาดโอกาสในการเชื่อมต่อเส้นทางสายไหมเข้ากบระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) เพื่อพัฒนาพื้นที่ห่างไกล ทั้งยังเรียกร้องให้ประเทศในกลุ่มอาเซียนเข้าร่วม เพื่อดันเศรษฐกิจในภูมิภาคเติบโต

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้รับเชิญจากรัฐบาลจีนเข้าร่วมงานประชุม “Belt and Road Forum for International Cooperation” หรือการประชุมความร่วมมือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) ตามเส้นทางสายไหมใหม่ ที่จัดขึ้น ณ กรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 14-15 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้กล่าวสุนทรพจน์ทั้งในช่วงการเปิดและปิดงาน ในการนี้สำนักข่าวซินหัวซึ่งเกาะติดการประชุมระดับโลกในครั้งนี้ได้ทำการสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ ถึงความรู้สึกหลังจากที่ได้รับฟังประธานาธิบดีของจีนกล่าวถึงโครงการ One Belt One Road ว่าเป็นโครงการแห่งศตวรรษที่จะสร้างสรรค์ประโยชน์แก่ผู้คนในทั่วโลก ซึ่ง 1 บุคคลสำคัญที่สำนักข่าวซินหัวให้ความสนใจและต้องการมุมมองที่เป็นประโยชน์ก็คือ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ในฐานะเครือเจริญโภคภัณฑ์เป็นบริษัทข้ามชาติแห่งแรกที่เข้าไปลงทุนในประเทศจีน หลังจากที่รัฐบาลจีนได้ดำเนินนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศ โดยจดทะเบียนการค้าได้หมายเลข 0001

นายธนินท์กล่าวว่า การลงทุนของจีนในโครงการเส้นทางสายไหมครั้งใหญ่นี้ ไม่เพียงจะช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างไร้ข้อจำกัดให้กับประเทศจีน แต่ยังจะยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกให้ไปข้างหน้าอีกด้วย โครงการเส้นทางสายไหมถือเป็นโมเดลใหม่ที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างนานาชาติ เพื่อร่วมสร้างประโยชน์ในวงกว้างและทุกประเทศจะได้รับปันผลประโยชน์ ถือเป็นชัยชนะร่วมกันจากทุกฝ่าย โดยนายธนินท์มองว่า โครงการนี้ยังเป็นตัวสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับเศรษฐกิจโลก เป็นการปฏิรูปและสร้างนวัตกรรมครั้งใหญ่ที่จะก่อเกิดการพัฒนาบนโลกใบนี้ตามมา

“พวกเราอยู่ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงและจีนกำลังเป็นผู้นำสร้างการเปลี่ยนแปลงนั้น” นายธนินท์ กล่าว

สำหรับประเทศไทย นายธนินท์เชื่อว่า ไทยจะให้ความสำคัญในการเข้าร่วมโครงการเส้นทางสายไหมนี้มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะเชื่อมโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรืออีอีซีของประเทศเข้าด้วยกัน ซึ่งแนวทางนี้ จะช่วยสร้างโอกาสอย่างมหาศาลให้กับประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการพัฒนาล้าหลัง ให้มีการเติบโตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ นายธนินท์ยังเรียกร้องให้ประเทศในกลุ่มอาเซียนเข้าร่วมในโครงการนี้เพราะมองว่าการลงทุนของจีนจะช่วยให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคให้เติบโตมากขึ้น

“ประเทศไทยต้องพัฒนา เพื่อจะได้ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” นายธนินท์ กล่าว

ประเทศจีนริเริ่มโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ในปี 2556 มีจุดมุ่งหมายที่กระตุ้นการค้าและสร้างเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานให้เชื่อมโยงกันในเอเชีย ยุโรปและแอฟริกา ตามเส้นทางการค้าทั้งทางบกและทางน้ำในตั้งแต่ยุคโบราณ

อนึ่ง การจัดประชุมครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อระดมมันสมองจากคนทั่วโลกเพื่อผลักดันโครงการ “One Belt One Road” ที่เชื่อมโยงเส้นทางการค้าไปยัง 5 ทวีปทั่วโลก ให้เป็นจริงขึ้นมา โดยมีตัวแทนจากกว่า 100 ประเทศทั่วโลกและองค์กรข้ามชาติต่างๆเข้าร่วมงาน รวมทั้งนายธนินท์ ในฐานะเอกชนจากประเทศไทย ได้รับเชิญขึ้นเวทีประชุมระดับโลกในช่วงบ่ายในวันแรกของงานด้วย