รัฐบาลญี่ปุ่นออกรายงานทบทวนด้านกลาโหมประจำปี โดยรายงานได้ ระบุโครงการอาวุธของเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อภูมิภาค

หวัง อี้ รมว.กระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวระหว่างเข้าร่วมการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ( เออาร์เอฟ ) ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันจันทร์ ว่ามติคว่ำบาตรครั้งใหม่ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี )

ญี่ปุ่น ออกสมุดปกขาว ชี้ เกาหลีเหนือ คือภัยคุกคาม ด้านเกาหลีเหนือ ซัด ใครหนุนสหประชาชาติ ต้องรับผิดชอบ

รัฐบาลญี่ปุ่นออกรายงานทบทวนด้านกลาโหมประจำปี โดยรายงานได้ ระบุโครงการอาวุธของเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อภูมิภาค หลังจากเกาหลีเหนือได้เดินหน้าทดสอบนิวเคลียร์และขีปนาวุธอย่างต่อเนื่องโดยไม่ใส่ใจกับมาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ และนับวันก็จะยิ่งครอบครองเทคโนโลยีอาวุธที่ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ โดยสมุดปกข่าวประจำปีนี้ เผยแพร่หลังจากที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป (ICBM) 2 ลูกในวิถีโค้งไปตกนอกชายฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม โดยรายงานฉบับนี้มีความยาวถึง 563 หน้าด้วยกัน

นอกจากนั้นแล้ว ในรายงานฉบับนี้ยังระบุด้วยว่า ขีปนาวุธซึ่งถูกยิงในวิถีโค้งมากๆ นั้นยากที่จะสกัดได้ ขณะที่นักวิเคราะห์ มองว่าผลการทดสอบ ขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปของเกาหลีเหนือนั้นมีศักยภาพพอที่จะส่งจรวดไปโจมตีแผ่นดินสหรัฐฯ ได้เกือบทุกจุด

ขณะที่ทางด้านเทศบาลเมืองต่างๆ ของญี่ปุ่นเริ่มจัดกิจกรรมซ้อมอพยพประชาชนในกรณีที่ถูกขีปนาวุธโจมตี และเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งจัดหาระบบคุ้มกันนิวเคลียร์ ทางด้าน อิตสึโนริ โอโนเดระ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของญี่ปุ่น ได้เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ พิจารณาจัดซื้อระบบอาวุธที่จะช่วยให้ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายยิงถล่มฐานทัพของศัตรูได้ก่อนบ้าง


 

นอกจากนั้นแล้วรายงานฉบับดังกล่าว แสดงความกังวลต่อการขยายอิทธิพลของจีนในภูมิภาค โดยชี้ว่าสถิติการส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นไปสกัดอากาศยานจีนที่รุกล้ำน่านฟ้าญี่ปุ่นนั้นพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วง 1 ปี อีกทั้งจีนยังส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน เหลียวหนิง เข้าร่วมรบซ้อมรบกระสุนจริงในแปซิฟิกเป็นครั้งแรก เมื่อเดือน ธันวาคม ปี 2016

ญี่ปุ่น ออกสมุดปกขาว ชี้ เกาหลีเหนือ คือภัยคุกคาม ด้านเกาหลีเหนือ ซัด ใครหนุนสหประชาชาติ ต้องรับผิดชอบ

 

ขณะที่ทางด้านหวัง อี้ รมว.กระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวระหว่างเข้าร่วมการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ( เออาร์เอฟ ) ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันจันทร์ ว่ามติคว่ำบาตรครั้งใหม่ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) ที่มีต่อเกาหลีเหนือ คือการแสดงจุดยืนของจีนร่วมกับประชาคมโลก ว่าต่อต้านการที่รัฐบาลเกาหลีเหนือจะเดินหน้าพัฒนาโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธต่อไป

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่จีนและเกาหลีเหนือมีความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกัน
หมายความว่ารัฐบาลจีนจะเป็นประเทศที่ ได้รับผลกระทบมากที่สุด จากมาตรการคว่ำบาตรครั้งนี้ แต่จีนพร้อมปฏิบัติตามมาตรการคว่ำบาตรอย่างเคร่งครัด แม้กล่าวด้วยว่าการค้าขายในระดับปกติ และการดำเนินชีวิตประจำวันของชาวเกาหลีเหนือไม่ควรได้รับผลกระทบจากบทลงโทษรอบใหม่ ที่มุ่งเน้นการจำกัดและห้ามส่งออกแร่ธาตุสำคัญ ที่รวมถึงถ่านหิน เหล็ก และตะกั่ว ตลอดจนอาหารทะเล การห้ามทุกประเทศเพิ่มการจ้างแรงงานชาวเกาหลีเหนือ และการห้ามจัดตั้งโครงการด้านการลงทุนร่วมกับเกาหลีเหนือ

 

 

ขณะที่มติล่าสุดของยูเอ็นเอสซีระบุถึงแนวทางการรื้อฟื้นการเจรจา 6 ฝ่าย ซึ่งเป็นกลไกการเจรจาคลี่คลายความขัดแย้งบนคาบสมุทรเกาหลีที่หยุดชะงักไปตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งจีนเชื่อว่าคู่เจรจาทุกประเทศ ได้แก่ เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และรัสเซีย ควรกลับมาพบหารือกันอีกครั้ง พร้อมทั้งยกคำกล่าวเมื่อต้นเดือนของเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ว่าสหรัฐฯไม่ต้องการล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของเกาหลีเหนือ และยินดีเจรจากับอีกฝ่าย
ขณะที่ทางด้าน นายรี ยอง โฮ รมว.กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือ กล่าวว่ามาตรการคว่ำบาตรของยูเอ็นเอสซีเป็นการละเมิดอธิปไตยของเกาหลีเหนือ และไม่อาจหยุดยั้งเกาหลีเหนือจากโครงการพัฒนาด้านอาวุธ อีกทั้งจะไม่มีการเจรจาร่วมกับสหรัฐฯ ตราบใดที่ยังคงมีการบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตร และเตือนประเทศที่ให้ความสนับสนุนต่อมติของยูเอ็นเอสซีในครั้งนี้ จะต้องร่วมกันรับผิดชอบซึ่งหมายถึงจีนและรัสเซีย