ขู่บึ้ม เครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ของ สายการบินเจ็ทแอร์เวย์ส กลางอากาศปลายทางสุวรรณภูมิ ใช้แผนฉุกเฉินรับมือ อพยพ 161 ชีวิต พ้นตัวเครื่อง

ผู้สื่อข่าวรายงานข่าว วันที่ 20 กันยายน 2560 เวลา 20.20 น. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้มีการรับแจ้งผ่านศูนย์ควบคุมจราจรทางอากาศว่า ขอให้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิประกาศใช้แผนฉุกเฉินฯ กรณีต้องสงสัยมีระเบิดบนเครื่องบินของสายการบินเจ็ทแอร์เวย์ส เที่ยวบิน 9W 066 เป็นเครื่องบินโบอิ้ง 737-800 จากท่าอากาศยานเดลลี มายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีกำหนดเครื่องลง เวลา 20.37 น.
 

ขณะที่ทางด้าน นายศิโรตม์ ดวงรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. เปิดเผยว่า เมื่อได้รับแจ้งเหตุดังกล่าวทางด้านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ประเมินสถานการณ์ร่วมกับสายการบินก่อนประกาศใช้แผนฉุกเฉิน บทที่ 9 เรื่องการขู่วางระเบิดอากาศยาน และได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนฉุกเฉินโดยทันที เบื้องต้นได้นำเครื่องบินลำดังกล่าวเข้าจอดที่หลุมจอด Isolated Parking Stand ทางฝั่งตะวันตกของท่าอากาศยาน และได้ลำเลียงผู้โดยสาร 153 คนพร้อมลูกเรือจำนวน 8 คน ออกจากอากาศยานไปพักรอที่สถานีดับเพลิงและกู้ภัยฝั่งตะวันตก โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ดำเนินการตรวจค้นร่างกายและสัมภาระของผู้โดยสารทุกคน รวมทั้ง เจ้าหน้าที่หน่วยทำลายวัตถุระเบิด EOD ตรวจสอบกระเป๋าทุกใบ ที่อยู่ใต้ท้องเครื่องและตรวจสอบอากาศยานอย่างละเอียด

 

นอกจากนั้นได้มีการเตรียมการฝ่ายรักษาความปลอดภัย ฝ่ายดับเพลิง ทีมภัย ทีมแพทย์และพยาบาล เพื่อปฏิบัติงานร่วมกับทางด้านเจ้าหน้าที่จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะที่การดูแลผู้โดยสารและลูกเรือนั้น ทางด้านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ คอยอำนวยความสะดวก และแจกน้ำดื่มพร้อมอาหารว่างให้ในระหว่างพักรอด้วย

 

หลังจากนั้นในเวลา 20.37 เที่ยวบินดังกล่าวได้ลงจอดที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็ได้ดำเนินการตามแผนการ ที่ได้เตรียมเอาไว้ข้างต้นตามลำดับ โดยนักบินประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อเวลา 20.45 น. ขณะที่ทางด้านโดยศูนย์รักษาความปลอดภัยหน่วยตรวจค้นวัตถุระเบิด หรือ EOD หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติตามแผน 9 ได้ตรวจสัมภาระ และตรวจหาวัตถุระเบิดบนเครื่องแต่ยังไม่พบอะไร
 

 

ซึ่งต่อมาทาง ทราบชื่อผู้โดยสารที่ขู่วางระเบิดภายหลังคือ Mr.Baira Kamal อายุ 34 ปี และ Gandhi Kanika อายุ 31 ปี ตรวจค้นพบมีเพียงโทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 เครื่องที่มีข้อความว่าห้ามปิดเครื่องอยู่ในมือ เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวมาสอบสวนเพื่อจะได้หาสาเหตุของเหตุการณ์ดังกล่าว

 

หมายเหตุ:ภาพที่ใช้ เป็นภาพจากแฟ้มภาพประกอบข่าว ไม่ใช่ภาพจากเหตุการณ์จริง