- 11 ต.ค. 2560
การแผ่ขยายของจีนไปยังปากีสถาน นั้นเพื่อที่จะเชื่อมต่อเข้าสู่ตะวันออกกลาง เพราะเวลานี้สำหรับจีนกลายเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันสูงสุดประเทศหนึ่ง
เมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา ทางจังหวัดบาลูจิสถาน จังหวัดยากจนที่สุดของปากีสถาน ได้ทำการส่งมอบที่ดินประมาณ 1,708 ไร่ จากทั้งหมด 5,750 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินปลอดภาษี ให้กับ จีน เพื่อพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในท่าเรือน้ำลึกกวาดาร์ ริมฝั่งทะเลอาหรับ ซึ่งจะทำให้จีนเข้าถึงตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป ได้มากยิ่งขึ้น
ซึ่งทางรัฐบาลจีนจะพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ตามสัญญาเช่า 43 ปี ที่ดินส่วนที่เหลือจะส่งมอบภายใต้ข้อตกลงกับบริษัทมหาชน ไชน่า โอเวอร์ซีส์ พอร์ต โฮลดิ้ง คัมปานี ของจีน โครงการเหล่านี้ของจีน นั้นเพื่อที่จะได้ขยายการค้าและการคมนาคมขนส่ง ทั่วภูมิภาคเอเชียกลางและเอเชียใต้ พร้อมไปกับการต่อต้านอิทธิพลของสหรัฐฯ และอินเดีย ท่าเรือน้ำลึกกวาดาร์ จะตัดระยะทางได้หลายพันกิโลเมตร สำหรับการขนส่งลำเลียงน้ำมันและก๊าซ ที่จีนนำเข้าจากแอฟริกาและตะวันออกกลาง และภายใต้โครงการจะมีการก่อสร้างท่าอากาศยานนานาชาติในเมืองกวาดาร์ ซึ่งจีนจะบริจาคเงินสนับสนุนโดยการก่อสร้างจะเริ่มในเดือน มกราคม 2559 ท่าเรือน้ำลึกกวาดาร์ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองใหญ่การาจี ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 540 กม. ก่อสร้างเมื่อปี 2550 ด้วยความช่วยเหลือทางเทคนิคจากจีน รวมทั้งความช่วยเหลือทางการเงินประมาณ 248 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับท่าเรือกวาดาร์จะทำให้จีนมีช่องทางใหม่ในการเข้าถึงทะเลอาหรับ โครงการนี้แสดงให้ทั่วโลกได้เห็นว่า จีนพร้อมที่จะช่วยเหลือเพื่อน และแผ่ขยายอิทธิพลผ่านกิจกรรมที่สร้างสรรค์ทางด้านเศรษฐกิจและการค้า
แน่นอนว่าการแผ่ขยายของจีนไปยังปากีสถาน นั้นเพื่อที่จะเชื่อมต่อเข้าสู่ตะวันออกกลาง เพราะเวลานี้สำหรับจีนกลายเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันสูงสุดประเทศหนึ่ง ผลประโยชน์พื้นฐานของจีนในตะวันออกกลาง คือการเข้าถึงแหล่งน้ำมันและก๊าซที่มากมายมหาศาลในย่านนี้ ทุกวันนี้จีนก็ยังต้องนำเข้านำมันจากตะวันออกกลางถึงครึ่งหนึ่ง โดยนำเข้าเฉพาะจากซาอุดีอาระเบีย และอิหร่าน ที่คิดเป็น ร้อยละ 30 ของการนำเข้าทั้งหมด
นอกจากนั้นแล้วจีน ยังได้เข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา อาทิเช่น ในคูเวต ก็ได้มีการลงนามในข้อตกลงเข้าไปตั้งโรงกลั่นน้ำมัน รวมถึงให้ทางคูเวต นั้นได้เข้ามาตั้งโรงงาน ปิโตรเคมีในมณฑลกวางตุ้ง
ส่วนจีน กับซาอุดีอาระเบีย ก็มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ในฐานะประเทศที่มีความต้องการน้ำมัน ขยายตัวอย่างมากที่สุดในโลก อย่างจีน กับประเทศที่ผลิตน้ำมันใหญ่ที่สุดในโลก อย่างซาอุดีอาระเบีย โดยข้อมูลสถิติ พบว่า ตั้งแต่ปี 2002 ซาอุดีอาระเบีย ส่งน้ำมันไปยังสหรัฐฯ ลดลงเรื่อยๆ แต่กลับส่งออกไปยังจีนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน จนกลายเป็นจีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันสูงสุดจากซาอุดีอาระเบีย
ขณะที่จีนเองก็มีข้อตกลงกับทางด้านซาอุดีอาระเบีย ในการขยายการสำรวจหาก๊าซธรรมชาติ บนที่ราบอัลกาห์ลีของซาอุดีอาระเบีย ขณะที่ทางด้านซาอุดีอาระเบียเองก็ได้มีข้อตกลงในการช่วยจีนพัฒนาแหล่งน้ำมันสำรอง และช่วยปรับปรุงศักยภาพของโรงกลั่น รวมถึงการก่อสร้างโรงแยกก๊าซในจีนอีกหลายแห่ง
นอกจากนั้นแล้วจีนยังมีความสัมพันธ์อันดีกับอิหร่าน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งขั่วอำนาจในตะวันออกกลาง โดยจีนลงนามในข้อตกลง ในระยะ 25 ปี จีนจะซื้อก๊าซจากอิหร่านเป็นปริมาณ 10 ล้านตัน แลกกับการที่จีนจะถือหุ้น 50% ที่จะเข้าไปพัฒนาบ่อน้ำมันยาฮาวาราน ของอิหร่าน
นอกจากนั้นจีนยังเป็นผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรายใหญ่ให้กับทางด้านอิหร่าน
ที่ผ่านมานั้นจีนรักษาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับกลุ่มอาหรับ มาแต่ครั้งประวัติศาสตร์ ขณะที่ทางด้านสหรัฐฯ ชอบใช้วิธีแทรกแซงด้านมนุษยธรรม และเข้าไปเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในตะวันออกกลาง แต่จีนยึดมั่นในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่เน้นหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายใน การเคารพในอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของกันและกัน
ขณะที่จีนกับสหรัฐฯ มีผลประโยชน์ในตะวันออกกลางต่างกัน โดยจีนแผ่ขยายอิทธิพลผ่านกิจกรรมที่สร้างสรรค์ทางด้านเศรษฐกิจและการค้า ผิดกับมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกา ที่แผ่ขยายอิทธิพลเข้าไปในภูมิภาคนี้ด้วยคำกล่าวอ้างถึงผู้ก่อการร้ายและ นำเอากำลังทหารเข้าไปรุกราน ในหลายประเทศ หากการพัฒนาครั้งนี้เป็นผลสำเร็จ ก็จะเป็นต้นแบบให้หลายประเทศในภูมิภาคนี้ เปิดใจรับจีนในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น และ ถึงเวลานี้หลายประเทศต่างก็หันหน้ามาเชื้อเชิญจีนให้ไปลงทุนในประเทศของตนเอง เบือนหน้าหนีสหรัฐฯ ที่จ้องแต่ผลประโยชน์ ไม่เคยรักษาสัจจะวาจา กับมิตรประเทศ ดังนั้นคงไม่แปลกใจนัก หากวันนี้จะใช้คำว่า จีน ได้ยึดตะวันออกกลางเบ็ดเสร็จ ด้วยวิธีการสันติวิธี แฮปปี้ ทั้งสองฝ่าย