กาตาร์คือหมากตัวสุดท้ายที่สหรัฐฯ เหลืออยู่ในการที่จะคงรักษาความได้เปรียบในตะวันออกกลางเอาไว้ได้ ดังนั้นจะต้องทำอย่างไรให้ได้กาตาร์มาเป็นพวกให้เร็ว

เมื่อสหรัฐฯ จนตรอก ในตะวันออกกลาง กับหนทางพลิกเกม เปิดหน้าสู้รัสเซีย จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างยิ่ง

วันที่ 12 มิถุนายน 2560 ผมได้ทำการวิเคราะห์ เรื่อง สหรัฐเข้าตาจน!! 4 จุดยุทธศาสตร์แพ้ให้รัสเซีย - จีน แล้ว 3 จุด “กาตาร์” จุดยุทธศาสตร์สุดท้ายในตะวันออกกลางที่สหรัฐฯ แพ้ไม่ได้อีกแล้ว

ซึ่งเวลานั้นทางด้านซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, อียิปต์และบาห์เรน ได้ตัดความสัมพันธ์กับกาตาร์ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2560 โดยกล่าวหาว่ากาตาร์สนับสนุนพวกก่อการร้ายและปลุกปั่นภูมิภาคให้ตกอยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพ จากนั้นในวันที่ 9 มิถุนายน ก็ยกระดับการกดดันด้วยการใส่ชื่อบุคคลและองค์กรต่างๆที่เชื่อมโยงกับกาตาร์ ในบัญชีดำก่อการร้าย

ขณะที่ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ บ่งชี้ว่าเขายืนอยู่ข้างซาอุดีอาระเบียและประเทศอื่นๆที่ตัดความสัมพันธ์กับกาตาร์

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทวิตข้อความ ว่า ระหว่างที่เขาเยือนซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 20-21 พฤษภาคม 2560 ว่าเขาได้รับการบอกเล่าว่า กาตาร์กำลังให้เงินสนับสนุนอุดมการณ์แบบรุนแรง เขายังกล่าวด้วยว่า การเยือนคราวนั้นของเขา กำลังผลิดอกออกผล

 

 

เมื่อสหรัฐฯ จนตรอก ในตะวันออกกลาง กับหนทางพลิกเกม เปิดหน้าสู้รัสเซีย จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างยิ่ง

 

“ระหว่างการเยือนตะวันออกกลางของผมเมื่อเร็วๆ นี้ ผมเน้นว่าต้องไม่ให้มีการให้เงินทุนหนุนอุดมการณ์แบบรุนแรง พวกผู้นำต่างพากันชี้ไปที่กาตาร์ -นี่แหละ ดูไว้! ดีเหลือเกินการไปเยือนซาอุดีอาระเบียได้เฝ้ากษัตริย์และพูดกับ 50 ประเทศกำลังผลิดอกออกผล พวกเขาบอกว่าพวกเขาอยากใช้ไม้แข็งกับการให้เงินทุนหนุน … ลัทธิสุดโต่ง และการระบุอ้างอิงทั้งหมดกำลังชี้ไปที่กาตาร์ บางทีนี่จะเป็นการเริ่มต้นของการยุติความโหดเหี้ยมของลัทธิก่อการร้าย!”

ภาพที่เห็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่เบื้องลึกแล้วนี่คือเกมแย่งชิงความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ในตะวันออกกลางของมหาอำนาจ ที่ถูกแบ่งขั้วแบ่งข้างอย่างชัดเจน ขั้วแรกนั้น ประกอบไปด้วย สหรัฐอเมริกา ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรต และอิสราเอล เป็นแกนหลัก ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ล้วนเป็นฐานอำนาจเดิมในภูมิภาคแห่งนี้ ส่วนขั้วที่สองนั้น ประกอบไปด้วยแกนหลักคือรัสเซีย จีน อิหร่าน ตุรกี กาตาร์ ซึ่ง จะเห็นได้ว่าในเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา รัสเซีย และ จีนรุกตะวันออกกลางอย่างต่อเนื่อง

ถ้าพูดถึงเกมนี้ต้องบอกว่า กาตาร์คือหมากตัวสุดท้ายที่สหรัฐฯ เหลืออยู่ในการที่จะคงรักษาความได้เปรียบในตะวันออกกลางเอาไว้ได้ ดังนั้นจะต้องทำอย่างไรให้ได้กาตาร์มาเป็นพวกให้เร็วที่สุด เพราะไม่อย่างนั้นหมายความว่า สหรัฐฯจะเป็นผู้พ่ายแพ้ในตะวันออกกลางอย่างสิ้นเชิง

อยากจะชี้ให้ท่านเห็นว่าเพราะเหตุใดสหรัฐฯ จึงจำเป็นต้องรุกหนักกาตาร์ในช่วงเวลานี้ และต้องการให้กาตาร์ตัดสินใจนโยบายต่างประเทศเสียใหม่ กลับมาเข้าด้วยกับบรรดารัฐอาหรับอื่น ๆ ที่นิยมชมชอบสหรัฐฯ และ เกลียดชังรัสเซีย


เมื่อสหรัฐฯ จนตรอก ในตะวันออกกลาง กับหนทางพลิกเกม เปิดหน้าสู้รัสเซีย จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างยิ่ง
 

ถ้าดูตามภูมิศาสตร์แล้ว ผู้ที่ยึดกุมปากอ่าว เกาะแก่งต่าง ๆ ในยามทำสงครามมักจะถือครองความได้เปรียบเอาไว้ได้เสมอ และตะวันออกกลาง ก็ไม่ต่างจากภูมิศาสตร์ในส่วนอื่น ๆ ของโลก ภูมิภาคแห่งนี้มีพื้นที่อ่าวสำคัญ ๆ อยู่ด้วยกัน ทะเลดำ , ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน , ทะเลแดง และ อ่าวเปอร์เซีย ซึ่งทั้งหมดเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของภูมิภาคแห่งนี้ ดังนั้นจะชี้ให้เห็นเป็นจุด ๆ ว่าทำไมสหรัฐฯ ถึงกำลังเข้าตาจน ในภูมิภาคแห่งนี้

ทะเลดำ เป็นพื้นที่ จุดยุทธศาสตร์ ที่จะเชื่อมภูมิภาคแห่งนี้ไปสู่ยุโรป และรัสเซีย ซึ่งที่ผ่านมานั้นทางด้านตุรกี เป็นพันธมิตรหลักของสหรัฐฯ ซึ่งแน่นอนว่าสหรัฐฯ ย่อมมีความได้เปรียบพื้นที่ตรงนี้อย่างยิ่ง มีการสร้างฐานทัพต่าง ๆ ในตุรกีมากมาย แต่ทว่า ช่วงหลังมานั้น สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมหลังจากที่ตุรกีรู้ทันว่า สหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนเฟดอุสเลาะห์ กูเลน นักการศาสนา ที่ต้องการล้มล้างการปกครองของ ประธานาธิบดีเรเซป เตอร์ยิป เฮอร์โดกัน ทำให้ตุรกีเริ่มเอาใจออกห่างจากสหรัฐฯ และมาเข้าด้วยกับทางด้านรัสเซีย ทำให้สถานการณ์ในพื้นที่แห่งนี้รัสเซียพลิกเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่ายิ่ง

ถัดลงมาเป็นทะเลเมดิเตอร์เนียน เป็นทะเลที่จะข้ามไปยุโรป แม้ว่าพื้นที่แห่งนี้ทางด้านสหรัฐฯ และกลุ่มนาโตจะมีกำลังที่อยู่ในพื้นที่แห่งนี้จำนวนมากก็ตาม แต่ในเวลานี้ พื้นที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเรือรบ และ เรือดำน้ำของรัสเซียเช่นกัน แต่ที่สำคัญ ตุรกี ที่มีชายแดนด้านหนึ่งติดกับพื้นที่แห่งนี้ รวมถึงซีเรีย ที่รัสเซียเข้าไปมีบทบาท ถือว่าแทบยึดครองพื้นที่ได้เกือบทั้งหมดนั้น ทำให้บทบาทของสหรัฐฯ ในจุดยุทธศาสตร์แห่งนี้ก็เสียเปรียบให้กับรัสเซียเช่นกัน

เมื่อสหรัฐฯ จนตรอก ในตะวันออกกลาง กับหนทางพลิกเกม เปิดหน้าสู้รัสเซีย จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างยิ่ง

 

โดยเฉพาะเส้นทางขนส่งน้ำมันจากอิรักที่จะออกสู่ทะเลมิดิเตอร์เรเนียน ทำไม่ได้เลย เพราะเส้นทางเหล่านั้นถูกรัสเซียปิดกั้นเอาไว้ทั้งหมด ดังนั้นแน่นอนว่าสงครามในซีเรีย ย่อมจะต้องยืดเยื้อต่อไป เพราะต่างฝ่ายต่างก็ต้องการพื้นที่แห่งนี้ในการที่จะเป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมันออกสู่ทะเล นั่นเอง


ลงใต้ลงมาก็คือส่วนของทะเลแดง และอ่าวเอเดน ในพื้นที่เหล่านี้เราไม่ค่อยจะได้ยินข่าว การสู้รบมากนัก ยกเว้นในประเทศเยเมน แต่รู้หรือไม่ว่าจุดยุทธศาสตร์ก็คือปากอ่าวทะเลแดง ที่จะต้องผ่านเข้าไปยังอียิปต์ และ ซาอุดีอาระเบียนั้น มีประเทศเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าจิบูตี ซึ่งตรงนั้นจะมีช่องแคบที่สำคัญอยู่ พื้นที่ตรงนี้รัสเซียจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวมากนัก แต่รัสเซียให้พันธมิตรอย่างจีน เข้ายึดครองพื้นที่จุดนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยจีนได้เข้าไปสร้างฐานทัพเรือแห่งแรกในจิบูตี และเป็นฐานทัพเรือแห่งแรกของจีนในต่างประเทศ ซึ่งจีนอ้างว่า จะใช้ในการให้กองทัพเรือนั้นคุ้มกันเรือสินค้าของจีนที่จะต้องขนส่งน้ำมันผ่านบริเวณดังกล่าว ซึ่งแน่นอนว่าหากเกิดสงครามขึ้นมา สหรัฐฯ ถูกปิดปากอ่าวย่อมเสียเปรียบในบริเวณดังกล่าวอย่างแน่นอน


ดังนั้นเหลือพื้นที่สุดท้ายที่สหรัฐฯ พอจะรักษาสถานะตัวเองในภูมิภาคแห่งนี้ได้นั่นก็คือ อ่าวเปอร์เซีย ถ้าดูจากภูมิศาสตร์ของอ่าวแห่งนี้ ฝั่งหนึ่งนั้นเป็นทางด้านซาอุดีอาระเบีย อีกฝั่งเป็นอิหร่าน ส่วนบริเวณใกล้ปากอ่าว ก็มีแหลมเล็ก ๆ อยู่ ซึ่งนั่นก็คือกาตาร์ ซึ่งที่ผ่านมากาตาร์เป็นที่ตั้งฐานทัพขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ และเป็นเส้นทางเดียวที่สหรัฐฯจะขนส่งน้ำมันจากอิรักผ่านออกทางนี้ แต่เนื่องจากช่วงหลังมานี้กาตาร์ก็เอาใจออกห่างจากสหรัฐฯ และรัฐอาหรับอื่น ๆ แล้วไปเข้าด้วยกับทางด้านอิหร่าน ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอ่าวดังกล่าว ทำให้สหรัฐฯ และซาอุฯ นั้นไม่พอใจอย่างยิ่ง และยิ่งเป็นพื้นที่สุดท้ายที่สหรัฐฯพอจะช่วงชิงความได้เปรียบในภูมิภาคแห่งนี้อยู่ได้บ้าง แต่เมื่อกาตาร์เริ่มจะแข็งข้อมากขึ้น ก็ถึงเวลาที่สหรัฐฯ กับซาอุฯ จำเป็นจะต้องจัดการขั้นเด็ดขาด แต่เหมือนว่าเวลานี้กาตาร์ ก็ไม่ได้สนใจในสิ่งที่สหรัฐฯ และ รัฐอาหรับต่าง ๆ ได้กระทำต่อกาตาร์ เนื่องจาก กาตาร์รู้ดีว่าเวลานี้ รัสเซีย อิหร่าน หรือแม้แต่ตุรกีให้การหนุนหลังกาตาร์อย่างเต็มที่ ดังนั้นก็ไม่ได้ทำให้กาตาร์เสียเปรียบประเทศใหญ่ ๆ รอบอ่าวเปอร์เซียแต่อย่างใด


ถึงวันนี้ ท้ายที่สุดแล้วกลยุทธ์ ที่ทางสหรัฐฯ ให้ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, อียิปต์และบาห์เรน ตัดความสัมพันธ์กับกาตาร์ แต่ทว่าก็ทำอะไรกาตาร์ไม่ได้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น วันนี้สหรัฐฯทำท่าจะสูญเสียมิตรภาพอันยาวนานที่มีกับอียิปต์ และ ซาอุดิอาระเบีย เสียด้วย ซึ่งเรื่องดังกล่าว ผมไม่ได้ มโนขึ้นมาเอง เมื่อ ข่าวล่าสุดที่ออกมา กับอียิปต์ นั้นเวลานี้ ก็เริ่มที่จะแปรพัก เมื่อ มีการจับกุมเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ โดยเรือเป็นเรือสัญชาติเกาหลีเหนือ ซึ่งมีการตรวจค้นบนเรือพบว่ามีการขนอาวุธหนักมาเต็มลำเรือ โดยมีปลายทางที่ท่าเทียบเรือในประเทศอียิปต์ เรื่องดังกล่าวทำให้ทางด้านสหรัฐอเมริการู้สึกไม่พอใจทางรัฐบาลอียิปต์เป็นอย่างยิ่ง และได้สั่งระงับงบช่วยเหลือชั่วคราวแก่อียิปต์กว่าหมื่นล้านบาท โดยทางด้านเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ของอียิปต์ เข้าตรวจยึดเรือพร้อมอาวุธ ซึ่งมีเครื่องยิงระเบิดอาร์พีจีกว่า 30,000 กระบอก ซึ่งซ่อนเอาไว้กับสินแร่

 

 

 

 

การสอบสวนจากสหประชาชาติเผยว่าการส่งอาวุธมายังอียิปต์ครั้งนี้เป็นการสั่งซื้อขายอย่างลับๆเพื่อนำมาใช้ในกองทัพ โดยทางรัฐบาลสหรัฐฯกล่าวหาว่าอียิปต์พยายามทำการค้าอาวุธอย่างลับๆกับเกาหลีเหนือ และไม่ให้ความร่วมมือในการลงโทษเกาหลีเหนือ เกาหลีเหนือถือว่าเป็นผู้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ราคาถูก ส่งออกให้กับหลายประเทศอย่าง อิหร่าน เมียนมา ซีเรีย ซึ่งเกาหลีเหนือได้รับใบอนุญาตในการผลิตอาวุธจากเทคโนโลยีจากสหภาพโซเวียตเดิมและจีนเช่นอาวุธปืนไรเฟิล เครื่องยิงจรวด เรือรบและรถถัง เป็นต้น


ขณะที่มิตรรักอันยาวนานอย่างซาอุดิอาระเบีย ก็เพิ่งสร้างดีลประวัติศาสตร์ กับรัสเซียไปหมาด ๆ เมื่อ สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน ซึ่งทรงถือเป็นพระมหากษัตริย์แห่งซาอุดีอาระเบียพระองค์แรกที่เสด็จเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 5 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา

สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานทรงเป็นสักขีพยานร่วมกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ทำพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ ระหว่างกรมการอุตสาหกรรมทหารของซาอุดีอาระเบีย กับบริษัทโรโซโบรอนเอ็กซ์พอร์ต ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจด้านอาวุธสงครามของรัสเซีย โดยเป็นการสั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์หลายรายการ ที่สำคัญนั่นก็คือคือระบบป้องกันขีปนาวุธพิสัยไกลแบบ S-400

 

 

 

 

 


นอกจากนั้นแล้วทางด้าน สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน ได้ตรัสเชิญประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ให้เดินทางเยือนกรุงริยาด ของประเทศซาอุดิอาระเบียอย่างเป็นทางการด้วย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ ของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังได้ตรัสเชิญเพื่อสร้างความร่วมมือด้านพลังงาน ที่ซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบอันดับ 1 และ 2 ของโลก และร่วมกันผลักดันกลุ่มโอเปก ทำการลดการผลิตน้ำมันดิบเหลือ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างน้อย 6 เดือน เพื่อช่วยกันสร้างความสมดุลกลไกตลาด ให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น


สิ่งที่น่าสนใจต่อจากนี้คือ สหรัฐฯ จะเดินเกมอย่างไรต่อ เพราะถึงเวลานี้บอกได้เลยว่าสหรัฐฯ แพ้ราบคาบ นอกจากจะเสียกาตาร์แล้ว เวลานี้ยังเสียอียิปต์ และซาอุดิอาระเบีย ให้กับรัสเซีย เรียบร้อยแล้ว

ผมจึงได้มีโอกาสได้พูดคุยกับทางด้านคุณสัมฤทธิ์ ทองอินทร์ ผู้เขียนหนังสือสงครามโลกครั้งที่ 3 ว่ามีความคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร ท่านก็ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้....

 

เมื่อสหรัฐฯ จนตรอก ในตะวันออกกลาง กับหนทางพลิกเกม เปิดหน้าสู้รัสเซีย จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างยิ่ง


คุณสัมฤทธิ์ ได้บอกว่า ถึงวันนี้คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าคาบสมุทรเกาหลีและตะวันออกกลางใกล้จะเกิดมหาสงครามจริงๆเมื่อสหรัฐเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเพิ่มการซ้อมรบอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา(ความจริงก็เตรียมโจมตีเกาหลีเหนือรอให้ฝ่ายเปียงยางเปิดฉากก่อนตอนนี้ก็ยั่วยุไปเรื่อยๆ)

ที่ผ่านมาก็ได้เสริมเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าไปอีกตามด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิด รุ่นบีบีวันติดหัวรบนิวเคลียร์ โดนัลด์ ทรัมป์ เผลอหลุดให้สัมภาษณ์ว่า"มีหนทางเดียวที่จะจัดการกับเกาหลีเหนือ"(นั่นคือสงคราม)แต่ที่มาแรงแซงโค้งทุกเรื่องในเวลานี้ก็คือองค์พระประมุขของซาอุดีอาระเบียเสด็จเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการและบรรลุข้อตกลงหลายประการรวมทั้งการซื้ออาวุธจำนวนมากโดยเฉพาะ ขีปนาวุธพิสัยไกลที่ชื่อ S- 400 จำนวนมากทำให้สหรัฐฯ เร่งอนุมัติระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบทาดให้ทันทีทันใดเช่นกันนักวิเคราะห์ทั่วโลกลงความเห็นนี่คือผลกระทบที่รุนแรงต่อโลกอาหรับและสหรัฐอเมริกาโดยตรงมีแต่รัสเซียเท่านั้นที่ได้ประโยชน์มากที่สุด

 

เมื่อสหรัฐฯ จนตรอก ในตะวันออกกลาง กับหนทางพลิกเกม เปิดหน้าสู้รัสเซีย จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างยิ่ง

 

ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

1.สหรัฐฯ และชาติตะวันตกให้การสนับสนุนอิสราเอลอย่างเต็มที่ทั้งทางตรงและทางออ้มจนขณะนี้อิสราเอลมีอาวุธนิวเคลียร์มากกว่า10ลูก

2.ในระยะเวลาสามปีที่ผ่านจนถึงปัจจุบันสหรัฐฯใช้ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีทั้งทางการเมืองและการทหารแบบรุกฝ่ายเดียวจนเกิดการผลักมิตรไปเป็นศัตรู เช่น กรณีตุรกีที่หนุนกองทัพให้รัฐประหารแต่ก็พ่ายแพ้รัฐบาลปัจจุบันทำให้รัสเซียได้ตุรกีเป็นมหามิตรทันทีการหนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียก็ถูกรัสเซียจับมือกับอัสซาสปราบราบคาบหนุนไอเอสก็ถูกรัสเซียประกาศสงครามลุยแหลกจนขณะนี้กำลังระส่ำระสายเสียชีวิตหลายพันคนอิหร่านไม่ต้องพูดถึงไม้เบื่อไม้เมาตลอดกาลของสหรัฐฯ (ขณะนี้ถือว่าอิหร่านเป็นมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของตะวันออกกลาง)การหนุนให้ชาวเคิร์ดแยกประเทศยิ่งสร้างความเจ็บแค้นให้ตุรกี อิหร่านบวกอิรักเพิ่มมาอีกหนึ่งประเทศดังนั้นการที่ซาอุฯมีท่าทีเป็นพันธมิตรกับรัสเซียเพิ่มขึ้นผลเสียจึงตกกับสหรัฐเพราะซาอุฯคือมหามิตรของสหรัฐที่สำคัญในตะวันออกกลาง

แล้วสหรัฐจะทำอย่างไรต่อไปเมื่อประมวลแล้วน่าจะมี5ประการที่สำคัญดังต่อไปนี้

 

 

เมื่อสหรัฐฯ จนตรอก ในตะวันออกกลาง กับหนทางพลิกเกม เปิดหน้าสู้รัสเซีย จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างยิ่ง

1.เดินหน้าหนุนฝ่ายกบฏในซีเรียต่อไปแม้ว่าจะต้องลงทุนอีกมากเพราะไม่ต้องนับหนึ่งใหม่

2.ให้อิสราเอลเพิ่มการโจมตีกลุ่มต่างๆที่สู้รบในขณะนี้ต่อไปแต่ให้หนักขึ้น

3.ถอนทหารกลับยอมให้รัสเซียคุมตะวันออกกลางโดยถาวร(คงยาก)

4.ให้อาวุธชาวเคิร์ดทุกกลุ่มเพื่อป่วนทั้ง อิหร่านตุรกีอิรักพร้อมกัน(ถ้าทำสำเร็จจะตีเสมอรัสเซีย)

5.หนุนกลุ่มไอเอสให้รวมตัวกันให้ได้

 

จากทางเลือกของสหรัฐฯทั้งหมดคงไม่ถอยจากตะวันออกกลางและคงหาวิธีที่สรุปมาแล้วทั้ง 5ข้อ สงครามที่ตะวันออกกลางมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นแน่นอนขึ้นชื่อว่าสหรัฐฯไม่ยอมเป็นรองใครอยู่แล้วโดยเฉพาะรัสเซียเพราะสหภาพโซเวียตยังบอนไซจนล่มสลายมาแล้วแต่ก็คงไม่ง่ายเหมือนอดีตและนี่เป็นอีกหลายปัจจัยที่เกื้อกูลให้เพิ่มอุณหภูมิสงครามโลกครั้งที่ 3ทั้งนั้น


ดังนั้นแม้ว่าเวลานี้สถานการณ์ในตะวันออกกลางสหรัฐฯจะตกเป็นรองในทุกพื้นที่ให้กับทางด้านรัสเซียไปเรียบร้อยแล้วนั้น แต่ใช่ว่าสหรัฐฯ จะยอมแพ้ง่าย ๆ สิ่งสำคัญว่า สหรัฐฯจะเลือกเดินเกมอย่างไรต่อไป เพื่อพลิกกลับมาเป็นผู้ได้เปรียบในสมรภูมิแห่งนี้อีกครั้ง อีกไม่นานคงได้รู้กัน

 

เมื่อสหรัฐฯ จนตรอก ในตะวันออกกลาง กับหนทางพลิกเกม เปิดหน้าสู้รัสเซีย จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างยิ่ง