รัฐบาลสหรัฐฯ นั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของ ขบวนการไซออนิสต์ (Zionism) เพื่อที่จะเดินหน้าสู่เป้าหมายคือการสถาปนาประเทศอิสราเอล

เปิดแผนการ ขบวนการไซออนิสต์ ลัทธิก่อการร้าย ผู้กุมอำนาจสหรัฐฯ ตัวจริง สู่การสถาปนารัฐยิว  ปูทางสู่การครองโลก

จากกรณีที่ทางด้านสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามรับรองนครเยรูซาเล็ม ให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล หลายคนก็ตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไม โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงต้องทำอย่างนั้น ดังนั้นวันนี้ เราจะพาผู้อ่านไปรู้จักกับขบวนการหนึ่ง ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลสหรัฐฯมาหลายยุคหลายสมัย นั่นคือ ขบวนการไซออนิสต์ (Zionism)

 

 

เปิดแผนการ ขบวนการไซออนิสต์ ลัทธิก่อการร้าย ผู้กุมอำนาจสหรัฐฯ ตัวจริง สู่การสถาปนารัฐยิว  ปูทางสู่การครองโลก

 

ปีค.ศ.1770 นักลงทุนข้ามชาติได้ร่วมประชุมก่อตั้งมูลนิธิโรดเชิลด์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่เมืองแฟรงค์เฟิรต์ ประเทศเยอรมัน และได้มอบหมายให้ยิวคนหนึ่งชื่อ อาดัม ไวซ์เฮอวิท ร่างบันทึกข้อสนธิสัญญา ของนักปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน ให้เป็นปัจจุบัน อาดัมได้ร่างบันทึกข้อสนธิสัญญาดังกล่าวอย่างสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ.1776 เนื้อหาหลักที่ได้รับการบรรจุในแผนนี้คือ ทำลายระบอบการเมืองและคำสอนศาสนาที่มีอยู่ เพื่อเปิดทางให้กับยิวในการครอบครองโลก เผยแพร่แนวคิดของยิวที่มีการบิดเบือนแทนที่ความเชื่อทางศาสนา ยุแหย่ประชาคมโลกให้เกิดความหวาดระแวง บาดหมางและปะทุสงครามระหว่างกัน ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง ดินแดน เผ่าพันธุ์ ความเชื่อและแนวคิดระหว่างคนในชาติ เพื่อให้เกิดความขัดแย้งตลอดเวลา และเป็นโอกาสให้แก่ยิวในการควบคุมสถานการณ์และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างเต็มที่


ปีค.ศ.1776 ได้จัดตั้งองค์กรรัศมีแห่งพระเจ้า โดยสามารถรวบรวมบุคคลที่มีชื่อเสียงจากทุกสาขาอาชีพไม่ว่าด้านศิลปะ ภาษา การศึกษา นักวิชาการ เศรษฐศาสตร์ นักธุรกิจจำนวนเกือบ 2,000 คน พร้อมกำหนดมาตรการสำคัญที่จะต้องยึดเป็นแนวปฏิบัติ ได้แก่

1. ใช้อำนาจเงินและสตรีในการควบคุมผู้มีอิทธิพลและผู้มีตำแหน่งบทบาทสำคัญในทุกระดับชั้นของสังคม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาครัฐ เอกชนหรือประชาสังคมก็ตาม ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์ขององค์กร

2. สมาชิกที่เป็นนักวิชาการและอยู่ในแวดวงทางการศึกษา จะต้องให้ความสำคัญกับนักศึกษาที่เรียนดี หรือมาจากครอบครัวชนชั้นสูง เพื่อสร้างเป็นทายาทในการเผยแพร่แนวคิดขององค์กร ทั้งนี้ด้วยการให้ทุนการศึกษาและสนับสนุนด้านการเรียนของพวกเขาอย่างเต็มที่

3. ต้องผลักดันบุคคลที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อแนวคิดนี้ให้เป็นผู้นำรัฐบาลหรือเป็นหัวหน้าส่วนราชการ โดยมีองค์กรนี้เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ทั้งนี้เพื่อจะได้ปฏิบัตแผนการณ์ขององค์กรได้อย่างคล่องตัว และมีประสิทธิภาพสูงสุด

4. สมาชิกทุกคนต้องพยายามเข้าไปมีบทบาทด้านหนังสือพิมพ์และสื่อประชาสัมพันธ์ทุกแขนง เพื่อสามารถเผยแพร่แนวคิดและชี้นำมวลชนตามความต้องการขององค์กร


หลังจากนั้นองค์กรนี้ ได้เข้าไปซึมซับในองค์กรต่างๆ ทั่วโลกในรูปแบบและชื่ออันหลากหลาย จนกระทั่งเกิดปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1798 เกิดสงครามโลกครั้งที่1 ระหว่างปีค.ศ.1914 ถึง 1918 และ สงครามโลกครั้งที่2 ระหว่างปีค.ศ. 1930 ถึง 1945

 

เปิดแผนการ ขบวนการไซออนิสต์ ลัทธิก่อการร้าย ผู้กุมอำนาจสหรัฐฯ ตัวจริง สู่การสถาปนารัฐยิว  ปูทางสู่การครองโลก


แนวคิดเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐยิว ได้เริ่มอย่างเป็นรูปธรรมโดยรัฐบาลอังกฤษที่ได้ก่อตั้งสถานกงสุลครั้งแรกที่เมืองกุดส์ระหว่างปี ค.ศ.1839-1840 ซึ่งรัฐบาลอังกฤษได้ประกาศเจตนารมณ์ในการปกป้องยิว ในขณะที่หนังสือพิมพ์ไทมส์อังกฤษช่วงนั้นได้เริ่มปลุกกระแสความเป็นไปได้ของการก่อตั้งรัฐอิสราเอลโดยการอุดหนุนของรัฐบาลอังกฤษ หลังจากนั้นมีการส่งเอกอัครราชทูตอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเพื่อติดต่อเจรจากับสุลฏอนอับดุลฮามิด กษัตริย์ราชวงศ์อุษมานียะฮฺ เกี่ยวกับโครงการการให้พำนักแก่ชาวยิวที่ปาเลสไตน์ ซึ่งได้รับการปฏิเสธจากสุลฏอนอับดุลฮามิดพร้อมกล่าวว่า ชาวยิวสามารถพำนัก ณ ส่วนใดก็ได้ในแผ่นดินที่ครอบครองโดยอาณาจักรอุษมานียะฮฺ ยกเว้นปาเลสไตน์ พระองค์ไม่เพียงปฏิเสธข้อเสนออย่างเดียว แต่ยังออกกฎหมายปีค.ศ.1880 ห้ามมีการอพยพชาวยิวเข้ามาพำนักที่ปาเลสไตน์และห้ามชาวยิวครอบครองที่ดินในปาเลสไตน์ กฎหมายในลักษณะดังกล่าวได้มีการรื้อฟื้นขึ้นใหม่ในปีค.ศ.1893 โดยกำชับห้ามชาวยิวทำการซื้อขายที่ดิน ณ ดินแดนปาเลสไตน์โดยเด็ดขาด


ราวปี ค.ศ. 1897 ได้มีการก่อตั้งกลุ่มลัทธิไซออนิสม์ (Zionism) โดยกลุ่มชาวยิวปัญญาชนและพ่อค้ายิวที่ทำมาหากินจนร่ำรวยจากทั่วทุกมุมโลกจำนวน 900 คน ซึ่งเป็นผู้แทนองค์กรยิว กว่า 600 องค์กรได้จัดประชุมที่เมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำชาวยิว กลับมาตั้งถิ่นฐานสร้างชาติยิวขึ้นมาใหม่บนแผ่นดินปาเลสไตน์ หลังจากกระจัดกระจายเป็นผู้อาศัยในประเทศต่างๆ เช่น รัสเซีย เยอรมัน โปแลนด์ แคนาดา อังกฤษ ซึ่งกลุ่มไซออนิสต์ยึดมั่นในพระคัมภีร์ที่ว่า "ปาเลสไตน์คือดินแดนที่พระเจ้ามอบไว้เพื่อชาวยิว"

กลุ่มไซออนิสต์ใช้เวลานับสิบปีลงทุนกว้านซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินชาวอาหรับโดยอาศัยช่องว่างทางกฏหมายและความอ่อนแอของระบบราชการ ตลอดจนจัดการพัฒนาพื้นที่ที่เคยแห้งแล้งให้สามารถเพาะปลูกได้ ถึงแม้สุลฏอนอับดุลฮามิดจะออกกฏหมายห้ามชาวยิวซื้อที่ดินในปาเลสไตน์ แต่ทุกอย่างก็สายเกินแก้ ที่ดินส่วนใหญ่ที่เป็นมรดกตกทอดของชาวมุสลิม บัดนี้ได้กลายเป็นกรรมสิทธิ์ของยิวโดยถูกต้องตามกฏหมายไปแล้ว


ความพยายามของยิวไม่หยุดเพียงแค่นั้น พวกเขาพยายามหว่านล้อมสุลฏอนอับดุลฮามิดในทุกวิถีทาง แต่พระองค์ยังยึดมั่นในจุดยืนเดิม พระองค์ได้ออกกฏหมายอนุญาตให้ชาวยิวเข้าในปาเลสไตน์ในฐานะผู้เยี่ยมเยียนโดยมีสิทธิพำนักได้ไม่เกิน 30 วันซึ่งเป็นที่ทราบด้วยการออกวีซ่าเล่มแดง ท้ายสุดชาวยิวซึ่งนำโดยเธียวดอร์ เฮอร์เชิลได้ยื่นข้อเสนอมอบเงินจำนวน 5 ล้านปอนด์เพื่อเป็นค่าตอบแทนส่วนพระองค์แก่สุลฏอนอับดุลฮามิด และ150 ล้านปอนด์เพื่อเป็นเงินงบประมาณฉุกเฉินของประเทศ ตลอดจนเงินอีกจำนวนเท่าไรก็ได้ที่กำหนดโดยอาณาจักรอุษมานียะฮฺเพื่อเป็นเงินกู้ที่ปราศจากดอกเบี้ยและไม่กำหนดเวลาชำระหนี้ ทั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนกับการอนุญาตให้ยิวครอบครองผืนดินสามเหลี่ยมระหว่างเมืองยาฟาและเดดซี (ทะเลมรณะ) ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นอาณาจักรอุษมานียะฮฺประสบภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ และกำลังทำสงครามกับรัสเซีย แต่ สุลฏอนอับดุลฮามิดก็ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวอย่างแข็งขัน พร้อมกล่าวว่า

“ถึงแม้ท่านจะหยิบยื่นทองขนาดโลกนี้ทั้งใบ ข้าพเจ้าไม่มีวันที่จะรับข้อเสนอของพวกท่านได้ ข้าพเจ้าได้บริหารอาณาจักรอิสลามและปกครองประชาชาติของนบีมูฮัมมัด มานานกว่า 30 ปี ข้าพเจ้าไม่ยอมแปดเปื้อนประวัติศาสตร์อิสลามที่บรรพบุรุษของข้าพเจ้าได้ร่วมสร้างมาในอดีตโดยเด็ดขาด พวกท่านไม่มีวันที่จะได้แผ่นดินปาเลสไตน์ตราบใดที่อาณาจักรของข้าพเจ้ายังดำรงคงอยู่”

จุดยืนอันมั่นคงดุจภูผาของสุลฏอนอับดุลฮามิดในครั้งนี้สร้างความโกรธแค้นแก่ยิวมาก สุลัยมาน มันซูร ซึ่งเป็นชาวยิวได้บันทึกในจดหมายลับฉบับหนึ่งของเขาว่า “เราได้เสนอจะให้เหรียญทองจำนวนมหาศาลแก่สุลฏอนอับดุลฮามิดเพื่อเป็นสินบนแก่การจะยกที่ดินผืนหนึ่งในเขตการปกครองของตุรกีให้เรา แต่พระองค์ปฏิเสธและไล่คนของเราออกมาอย่างน่าอัปยศ แต่พวกท่านจงมั่นใจเถิดว่า ในเวลาอันเหมาะสมนี้ เราจะต้องทำให้รัฐบาลที่เย่อหยิ่งจองหองนี้พังทลายลงกับพื้นดิน และจะทำร้ายพวกตุรกีเสียจนให้สภาพของพวกเขาเป็นทุกข์ยิ่งกว่าสภาพของชาวอินเดียนแดงในอเมริกาทีเดียวละ”


หลังจากที่หมดหวังในการเจรจากับสุลฏอนอับดุลฮามิด ชาวยิวเริ่มใช้แผนสกปรกด้วยการวางแผนโค่นล้มระบบเคาะลีฟะฮฺและลอบปลงพระชนม์ ซึ่งในปีค.ศ 1905 ได้เกิดระเบิดรถยนต์พระที่นั่งของสุลฏอนอับดุลฮามิด แต่เนื่องจากพระองค์ยังไม่ประทับบนรถยนต์คันดังกล่าว พระองค์จึงรอดชีวิตอย่างหวุดหวิด หลังจากนั้นชาวยิวได้เริ่มรณรงค์ใส่ร้ายสุลฏอนอับดุลฮามิดทั้งในประเทศและนอกประเทศ โดยมีสมาคมลับทำหน้าที่เป็นศูนย์การประชุม วางแผนและเป็นศูนย์ปฏิบัติการ มีการแพร่กระจายคำขวัญ เช่นภราดรภาพ เอกภาพ เสมอภาค มีการเผยแพร่ลัทธิชาตินิยมอาหรับ ขบวนการยังเตอร์กได้รับการปลุกใจและสนับสนุนให้หันไปพึ่งการลอบวางเพลิงและการปล้นสะดม จนกระทั่ง กามาล อะตาเตอร์ก และอัสมัต อิโนโนปีค.ศ. 1924 ด้วยการนำของขบวนการยังเตอร์กที่นำโดย มุสตาฟา กามาล อะตาเตอร์ก และอัสมัต อีโนโน ได้เสนอต่อสภาแห่งชาติตุรกี เพื่อประกาศยกเลิกระบบเคาะลีฟะฮฺอิสลามและสถาปนาตุรกีเป็นรัฐปฏิเสธศาสนา(Secularism) ที่แยกศาสนาออกจากอาณาจักร มีการยกเลิกระบบศาลปกครองอิสลาม ปิดสถานศึกษาศาสนา ยกเลิกระบบมรดกอิสลาม เปลี่ยนอะซานจากภาษาอาหรับเป็นภาษาตุรกี ยกเลิกอักษรอาหรับเป็นอักษรลาติน เปลี่ยนวันหยุดราชการจากวันศุกร์เป็นวันอาทิตย์ มรดกอิสลามเหล่านี้ถูกปราบปรามอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์เมื่อปีคศ.1928 ถือเป็นการปิดตำนานอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่เคยเป็นศูนย์รวมของประชาชาติมุสลิมและสัญลักษณ์ความเป็นภราดรภาพอิสลามเป็นเวลานานกว่า 600 ปี และเพื่อเป็นการตอบแทนรางวัลความดีความชอบของทาสรับใช้ที่ชื่อมุสตาฟา กามาล อะตาเตอร์กนี้ ตุรกีจึงเป็นประเทศแรกที่ได้รับอิสรภาพจากการเป็นประเทศอาณานิคมของอังกฤษ


ปีค.ศ.1914 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 อาณาจักรอุษมานียะฮฺเป็นฝ่ายแพ้สงคราม และในปีค.ศ. 1918 อาณาจักรอุษมานียะฮฺยอมลงนามสงบศึก ประเทศต่างๆที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอุษมานียะฮฺก็ถูกเฉือนแบ่งเป็นชิ้นๆโดยนักล่าอาณานิคม โดยเฉพาะปาเลสไตน์ซึ่งตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษระหว่างปีค.ศ.1920-1948


ความขัดแย้งในการครอบครองดินแดนยังคงคุกรุ่นอยู่เรื่อยมาโดยมีกลุ่มไซออนิสต์ ดำเนินการอยู่ทั้งโดยเบื้องหน้าและเบื้องหลัง จนกระทั่งภาคพื้นยุโรปเกิดสงครามโลกขึ้นและได้ลุกลามขยายวงกว้างมายังดินแดนปาเลสไตน์

กล่าวได้ว่าผลพวงของสงครามโลกครั้งที่ 1 คือการล่มสลายของระบบเคาะลีฟะฮฺอิสลาม และผลลัพท์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 คือการสถาปนารัฐอันธพาลอิสราเอล ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้บงการที่แท้จริงและผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังของสงครามโลกทั้งสองครั้ง หาใช่เป็นผู้อื่นนอกจากยิวไซออนิสต์นั่นเอง

 


ที่มา : จากหนังสือ"ปาเลสไตน์ แผ่นดินที่ไร้ประชาชน เพื่อทรชนผู้ไม่มีแผ่นดิน"

 

เปิดแผนการ ขบวนการไซออนิสต์ ลัทธิก่อการร้าย ผู้กุมอำนาจสหรัฐฯ ตัวจริง สู่การสถาปนารัฐยิว  ปูทางสู่การครองโลก

 

ขณะที่ทางด้าน ขบวนการไซออนิสต์ (Zionism) คือลัทธิไซออนิสต์ หรือ องค์การไซออนิสต์ (Zionist) ยุคใหม่ ก่อตั้งโดยนายธีโอดอร์ เฮอร์เซิล ด้วยเจตนาที่จะรื้อฟื้นสิ่งที่พวกเขาคิดว่า เป็นแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้เป็นการเฉพาะแก่พวกยิว

เขาได้ก่อความหวังให้คนรุ่นใหม่ หรือยิวรุ่นใหม่ เพื่อที่จะนำพาไปสู่การตั้งรัฐยิวในพื้นที่ดินแดนที่พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงประทานให้กับพวกเขา ธีโอดอร์ เฮอร์เซิล รวบรวมและอพยพชาวยิวไปยังดินแดนหนึ่ง และทำสัญญากับมหาอำนาจในยุโรปเพื่อประกันสิทธิในดินแดนนั้น รวมทั้งต้องมีองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการอพยพ และตั้งถิ่นฐานใหม่นี้ด้วย และองค์กรที่ว่านี้คือไซออนิสต์

และพวกเขาได้ทำการกำหนดยุทธศาสตร์ ขององค์กร เพื่อนำไปสู่เป้าหมายเอาไว้อย่างชัดเจน อันประกอบไปด้วย แผน
3 ขั้น คือ

1. ก่อนตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์

2. ระหว่างตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์

3. หลังตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์

 

และพวกเขาก็ได้เดินตามแผนที่ได้วางเอาไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยใช้คน ที่มีศักยภาพ เพื่อการนำไปสู่เป้าหมายสูงสุด นั่นคือ

การนำเอาเยาวชนที่มีศักยภาพ เข้าสู่ระบบการศึกษาที่มีคุณภาพให้มากที่สุด ส่งเสริมให้เข้าศึกษาในสถาบันชั้นนำของโลก ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หรือว่ามหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เป็นต้น

หลังจบการศึกษา ก็จะผลักดันให้คนเหล่านี้ เข้าทำงานในสถานประกอบการณ์ระดับโลก ที่ควบคุมด้านการเมือง เศรษฐกิจ และ สังคม ในทุกภูมิภาคของโลก ไม่ว่าจะเป็นสถานบันการเงินของโลก หน่วยงานความมั่นคงอย่าง
FBI , CIA หรือแม้แต่สหประชาชาติ หลังจากนั้นก็จะใช้สายงานที่ตนเองนั้นรับผิดชอบสร้างอิทธิพล ต่อประเทศต่าง ๆ สร้างเครือข่ายมหาอำนาจ อย่างเป็นกระบวนการเป็นระบบ มากยิ่งขึ้น และสิ่งดังกล่าวจะถูกสร้างขึ้นมารุ่นต่อรุ่น จวบจนถึงปัจจุบันนี้

 

นอกจากนั้นแล้วองค์กรแห่งนี้จะเข้าไปจัดการ ควบคุมกระบวนการทางการเงิน การธนาคาร และการคลังของโลก แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการฟื้นฟูบูรณะและการพัฒนา หรือธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกลุ่ม ไซออนิสต์ สิ่งดังกล่าวไม่ได้เพียงเพื่อการกล่าวอ้างเลื่อนลอย อาทิเช่น จอร์จ โซรอส ที่เรียกกันว่าพ่อมดทางการเงิน ก็เป็นยิวโดยแท้ หรือแม้แต่ อลัน กรีนสแปน อดีตผู้ว่าธนาคารชาติสหรัฐฯ ก็เป็นชาวยิว เช่นเดียวกัน

นอกจากนั้นแล้ว ไซออนิสต์ ยังมีองค์กรแบบเปิดเผย และ องค์กรลับในการจัดการ ทุกอย่างเป็นกระบวนการ มีสื่อที่อยู่ในมือ เพื่อสร้างภาพ สร้างกระบวนการรับรู้ โฆษณาชวนเชื่อ อย่างเป็นกระบวนการ สื่อในตะวันตก หลายสำนัก อยู่ภายใต้กระบวนการ และ ทุนของชาวยิว แทบทั้งสิ้น

 


ดังนั้นจากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ในทุกยุคทุกสมัย ของรัฐบาลสหรัฐฯ นั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของ ขบวนการไซออนิสต์ (Zionism) เพื่อที่จะเดินหน้าสู่เป้าหมายคือการสถาปนาประเทศอิสราเอล ให้สำเร็จ และเมื่อนั้น ขบวนการไซออนิสต์ (Zionism) ก็จะครองโลก ตามแผนที่วางเอาไว้