- 15 ธ.ค. 2560
โจเซฟ ยุน ทูตพิเศษสหรัฐฯ ด้านเกาหลีเหนือ ซึ่งได้เดินทางมาประเทศไทยได้มีคำร้องขอ ให้ทางการไทยนั้นเพิ่มแรงกดดันต่อเกาหลีเหนือ
สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานข่าว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2560 ทางด้าน พลเอกวัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า ทางโจเซฟ ยุน ทูตพิเศษสหรัฐฯ ด้านเกาหลีเหนือ ซึ่งได้เดินทางมาประเทศไทยได้มีคำร้องขอ ให้ทางการไทยนั้นเพิ่มแรงกดดันต่อเกาหลีเหนือ โดยเฉพาะทางด้านการค้าและการทูตมากยิ่งขึ้น
เอกวัลลภ รักเสนาะ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ไทยได้ลดมูลค่าการค้าขายกับเกาหลีเหนือลงอย่างมาก และมีการจำกัดการออกวีซ่าให้แก่พลเมืองของเกาหลีเหนืออีกด้วย
เอเอฟพี ยังรายงานข่าวว่า ไทยนั้นเป็นพันธมิตรที่ยาวนานของสหรัฐฯในภูมิภาคแห่งนี้ และเป็นหนึ่งในหลายประเทศที่มีสถานทูตเกาหลีเหนือตั้งอยู่ และเป็นประเทศที่ได้รับผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจจากเกาหลีเหนือเป็นอย่างยิ่ง แต่เนื่องจากสหประชาชาติ และสหรัฐฯ กำลังดำเนินการให้ผู้นำในแต่ละประเทศดำเนินการกดดันเกาหลีเหนือให้หนักมากยิ่งขึ้น เพราะที่ผ่านมานั้นมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาตินั้นไม่สามารถที่จะทำให้เกาหลีเหนือยุติในการทดสอบนิวเคลียร์ อย่างที่ตั้งใจเอาไว้
นอกจากนั้นแล้วทางด้านสำนักข่าวเอเอฟพี ได้อ้างข้อมูลจากทางด้านนางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าของกระทรวงพาณิชย์ คาดหมายว่าช่วงปลายปี 2017 จะไม่มีการส่งออกหรือนำเข้าสินค้าระหว่างไทยกับเกาหลีเหนืออีกต่อไป
เมื่อ วันที่ 9 ธันวาคม 2560 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้มีการออกแถลงการณ์เรื่องการส่ง นายโจเซฟ ยุน ทูตพิเศษด้านนโยบายเกาหลีเหนือ จะเดินทางมายังประเทศญี่ปุ่น และประเทศไทย ระหว่างวันที่ 11 ถึง 15 ธันวาคม 2560 นี้ เพื่อหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ ถึงแนวทางการยกระดับมาตรการกดดันเกาหลีเหนือ หลังนายคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ได้ทำการทดสอบยิงขีปนาวุธรุ่นใหม่ ฮวาซอง-15 จากจังหวัดพยองอันใต้ ฝั่งตะวันตกของเกาหลีเหนือ ไปตกลงในน่านน้ำเขตเศรษฐกิจพิเศษของทะเลญี่ปุ่น เมื่อช่วงเวลา 03.30 น. ของวันที่ 29 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในแถลงการณ์ยังระบุอีกว่า ทางสหรัฐฯ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับความร่วมมือในยกระดับการเป็นพันธมิตรด้านนโยบายเกาหลีเหนือกับทั้ง 2 ประเทศ เพื่อนำไปสู่การยุติโครงการนิวเคลียร์ของนายคิมจองอึน
นอกจากนี้ยังมีรายงานเข้ามาอีกว่า นายเจฟฟรีย์ เฟลต์แมน รองเลขาธิการสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ด้านกิจการการเมือง ได้มีการไปเยือนเกาหลีเหนือเป็นเวลา 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งการเดินทางของรองเลขาธิการสหประชาชาติในครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ที่ไปเยือนเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการตามคำเชิญของรัฐบาล แต่ไม่มีการระบุชัดเจนว่าได้มีการพบหารือกับนายคิมจองอึน หรือไม่
เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีนายโจเซฟ ยุน ผู้แทนสหรัฐฯ ว่าด้วยนโยบายเกาหลีเหนือ จะมาพบว่า เรื่องเกาหลีเหนือ เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งไทยโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศก็ยืนยันมาตลอดว่าได้ปฏิบัติตามมติของยูเอ็นอย่างครบถ้วน บางอย่างมากกว่าเขาด้วยซ้ำ หลายประเทศเขาก็ทำเท่าที่กำหนดมา แต่เราทำเยอะแยะ เพราะฉะนั้นที่มีการกล่าวอ้างว่า มีเรือเกาหลีเหนือ ซึ่งตนได้สั่งห้ามมาเทียบท่านานแล้ว ต้องผลักดันออกไปให้หมด ไม่มีการค้าขายระหว่างกัน ไม่มีการซื้อถ่านหินระหว่างกัน ไม่มีการประกอบการค้า
“ตอนนี้เยอะแยะไปหมดจนแทบกระดิกไม่ได้อยู่แล้ว อย่าไปฟังเขามากนักเลย อะไรที่เป็นมติสหประชาชาติ ผมก็ทำและทำพร้อมไปกับเพื่อนอาเซียนด้วย ไม่ใช่ผมทำคนเดียว เป็นพระเอกก็ไม่ใช่ เพราะถือว่าเป็นมติของอาเซียน ซึ่งในการกล่าวถ้อยแถลงอะไรก็แล้วแต่ ครั้งที่แล้วถ้อยแถลงอาเซียนไม่มี แต่ไทยเป็นคนเสนอเองว่าอย่างน้อยก็ให้แถลงออกมาว่าเราทำอะไรบ้างที่สอดคล้องกับมติสหประชาชาติ จึงได้มีถ้อยแถลงดังกล่าวออกมา ดังนั้นอย่าไปว่าพวกเรากันเอง”
ล่าสุดทางด้านสำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าว เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2560 ว่า เกาหลีเหนือได้ส่งเจ้าหน้าที่เดินทางมาที่ประเทศไทยจำนวน 4 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือทางด้าน โช จิน รองหัวหน้าสถาบันสันติภาพและการปลดอาวุธ ประจำกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือ เพื่อที่จะได้พบและหารือลับกับทางด้าน นายโจเซฟ ยุน ทูตพิเศษด้านนโยบายเกาหลีเหนือ ของสหรัฐฯ ระหว่างที่จะมีการประชุมสภาความร่วมมือด้านความมั่นคงในเอเชียแปซิฟิก CSCAP (Council for Security Cooperation in the Asia Pacific) ที่ จ.เชียงใหม่
สื่อต่างประเทศยังได้มีการคาดการณ์ว่าการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่ของเหาหลีเหนือ และสหรัฐฯ นครั้งนี้จะเป็นการเปิดเจรจาครั้งแรกระหว่างสหรัฐฯ และ เกาหลีเหนือ
ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ ก่อนหน้านี้ที่ทางด้าน เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันว่า ขณะนี้มาตรการกดดันเกาหลีเหนือ ไม่ว่าจะการใช้การกดดันจากนานาชาติ การยกเลิกการค้าขาย เพื่อสร้างความลำบากทางด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการขู่ใช้มาตรการทางทหาร ก็ยังคงดำเนินต่อไป และยืนยันว่า สหรัฐฯ ไม่สามารถที่จะยอมรับได้หากเกาหลีเหนือจะขึ้นมาเป็นรัฐนิวเคลียร์เบอร์ 1 ของโลกในอนาคต
แต่ทางด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ก็ยังคงมีท่าทีออมชอม อย่างเห็นได้ชัดว่า การเจรจาระหว่างคิม จองอึน กับสหรัฐฯ เองก็ยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และพร้อมที่จะพบปะเจรจาโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น เขายังกล่าวย้ำในงานเสวนา นโยบายของสถาบันวิจัย แอตแลนติก เคาน์ซิล ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ว่า ขอโอกาสได้พบกับผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ แม้จะได้พูดคุยเรื่องสภาพอากาศ ก็ยังดี อย่างน้อยก็น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ก้าวสู่เป้าหมายในการเจรจาในอนาคต