สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน แห่งซาอุฯ เตรียมการใหญ่ปรับโครงสร้างกองทัพ รองรับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ตัดกำลังระดับราชวงศ์

ด้านมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน องค์รัชทายาทที่จะสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากพระราชบิดา เวลานี้ทรงเป็นทั้งรัฐมนตรีกลาโหมซาอุดีอาระเบีย  และผู้วางแผนการใหญ่ในการทำสงครามเยเมน ขณะที่เจ้าชายมกุฎราชกุมารพระองค์นี้ทรงมีชื่อเสียงในต่างแดน จากการที่ทรงให้สัญญาดำเนินการปฏิรูปเพื่อให้ประเทศเป็นมิตรกับธุรกิจมากยิ่งขึ้น รวมทั้งส่งเสริมยกระดับฐานะของสตรี

 

 

ถ้าพูดถึงสถานการณ์ของตะวันออกกลาง ประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นอีกประเทศหนึ่งที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการแย่งชิงอำนาจภายในประเทศ ในระดับราชวงศ์ ซึ่งที่ผ่านมานั้นสถานการณ์ไม่สู้จะดีนัก หลังจากที่ทางด้าน สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานแห่งซาอุดีอาระเบีย ได้แต่งตั้งให้มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน องค์รัชทายาทที่จะสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากพระราชบิดา ดูแลงานสำคัญต่าง ๆ หลายส่วน ก็เกิดความระส่ำมาโดยตลอด โดยเฉพาะที่เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก ก็คือการที่มีการจับกุม คุมขังเจ้าชาย และนักธุรกิจจำนวนมาก โดยอ้างว่าเข้าไปพัวพันกับการทุจริตคอร์รัปชั่น ในเรื่องต่าง ๆ ของประเทศ แต่ทว่าท้ายที่สุดทุกคนก็ถูกปล่อยตัวออกมา ซึ่งมีข่าวออกมาว่าเป็นการเจ้าชายและ นักธุรกิจเหล่านั้นต้องใช้เงินจำนวนมากในการไถ่ตัวเอง ให้หลุดพ้นจากการจองจำอิสรภาพเหล่านั้น ล่าสุด ก็มีความเคลื่อนไหวในประเทศซาอุดีอาระเบียอีกครั้ง เมื่อสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน ได้สั่งปลดประธานเสนาธิการทหารและปรับเปลี่ยนนายพลคนสำคัญอีกหลายตำแหน่ง เพื่อยกเครื่องกระทรวงกลาโหม ขณะที่ประเทศกำลังเป็นแกนนำพันธมิตรอาหรับทำสงครามใหญ่ในเยเมน ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นอีกก้าวในการกระชับอำนาจของมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด เช่นเดียวกับมาตรการกวาดล้างคอร์รัปชั่นก่อนหน้านี้

 

 

เช้าวันอังคาร ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ทางด้านสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานแห่งซาอุดีอาระเบีย ได้ประกาศพระบรมราชโองการหลายฉบับ แต่สิ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือพระบรมราชโองการเกี่ยวกับการพัฒนากระทรวงกลาโหม ซึ่งได้มีการระบุว่า สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานแห่งซาอุดีอาระเบียทรงอนุมัติเอกสารว่าด้วยการพัฒนากระทรวงกลาโหม ซึ่งรวมถึงวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ของโครงการพัฒนากระทรวง รูปแบบการดำเนินการเพื่อการพัฒนา โครงสร้างการจัดองค์กร ข้อกำหนดด้านธรรมาภิบาลและทรัพยากรมนุษย์

การเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญโดยเฉพาะในระดับกองทัพที่ คือการปลดพลเอกอับดุลเราะห์มาน บิน ซาเลห์ อัล บุนยาน จากตำแหน่งประธานเสนาธิการทหาร และโยกย้ายไปเป็นที่ปรึกษาราชสำนัก และแต่งตั้งให้ทางด้าน พลเอกไฟยาดห์ บิน ฮามิด อัล รไวลี อดีตผู้บัญชาการกองทัพอากาศ ขึ้นมานั่งตำแหน่งประธานเสนาธิการทหารแทน

 

 

และได้มีการแต่งตั้งรัฐมนตรีช่วยกลาโหมคนใหม่ ได้แก่ คอเลด บิน ฮุสเซน อัล บิยารี ผู้เป็นซีอีโอของซาอุดี เทเลคอม บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งประกอบธุรกิจโทรศัพท์มือถือและให้บริการอินเทอร์เน็ต

ทางด้านเจ้าชาย ไฟซาล บิน ฟาร์ฮาน ที่ปรึกษาอาวุโสประจำสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงวอชิงตัน เขียนเอาไว้ในทวิตเตอร์ว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่ดำเนินมาหลายปี

 

 

 

ในขณะที่ทางด้านมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน องค์รัชทายาทที่จะสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากพระราชบิดา เวลานี้ทรงเป็นทั้งรัฐมนตรีกลาโหมซาอุดีอาระเบีย  และผู้วางแผนการใหญ่ในการทำสงครามเยเมน ขณะที่เจ้าชายมกุฎราชกุมารพระองค์นี้ทรงมีชื่อเสียงในต่างแดน จากการที่ทรงให้สัญญาดำเนินการปฏิรูปเพื่อให้ประเทศเป็นมิตรกับธุรกิจมากยิ่งขึ้น รวมทั้งส่งเสริมยกระดับฐานะของสตรี ทว่าบทบาทของพระองค์ในเยเมนกลับกำลังสร้างความเสียหายให้แก่เกียรติคุณของพระองค์ และการตัดสินใจครั้งนี้ของทางด้าน สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานมีขึ้นขณะที่กองกำลังพันธมิตรที่นำโดยซาอุดีอาระเบีย ยังไม่สามารถทำศึกสงครามในเยเมน ที่ต่อสู้กับกลุ่มกบฏชีอะห์ ที่เชื่อกันว่าอยู่ภายใต้การหนุนหลังของรัฐบาลอิหร่าน โดยดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องแต่ไม่สำเร็จเสียที ทั้งที่เยเมนเป็นประเทศยากจนที่สุดในโลกอาหรับ ขณะที่ประชาชนในประเทศนั้นกลายเป็นเหยื่อของสงครามล้มตายไปกว่า 10,000 คนแล้ว

 

 

ซึ่งปัจจุบันนี้ทางด้านกลุ่มกบฏชีอะห์ได้เข้ายึดกรุงซานาและพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนบนของประเทศเอาไว้ ในขณะที่ทางด้านกำลังหลักของพันธมิตรอาหรับอย่างซาอุดีอาระเบีย เองก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากการโจมตีทางอากาศในเยเมน จนทำให้พลเรือนมากมายเสียชีวิต นอกจากนั้นยังมีการโจมตีตลาด โรงพยาบาล และเป้าหมายด้านพลเรือนอื่นๆ ซึ่งทำให้ชาวเยเมนอดอยากล้มตาย

 

 

 

บรรดานักวิเคราะห์กำลังมองว่า สิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงในกองทัพของซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ต้องการปรับทัพในการสู้ศึกในเยเมน เท่านั้น แต่ทางด้านซาอุดีอาระเบีย กำลังเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง เพื่อสร้างสมดุลในการปกครองประเทศ รวมถึงการปรับสมดุลอำนาจในระดับราชวงศ์ หรือไม่ โดยทางด้าน เบ็กกา วัสเซอร์ นักวิเคราะห์ที่เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงในอ่าวเปอร์เซีย มองว่าการยกเครื่องกองทัพครั้งนี้ว่าไม่เป็นเพียงปฏิกิริยาจากสงครามเยเมนเท่านั้น เนื่องจากการปรับโครงสร้างคราวนี้ครอบคลุมทั้งการปรับปรุงยกระดับการฝึกและการเกณฑ์ทหาร การจัดสรรทรัพยากรต่างๆ อย่างถูกต้องเหมาะสมยิ่งขึ้น และการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำในกองทัพ ด้วยการส่งเสริมผู้ที่พร้อมรับฟังแนวคิดใหม่ๆ และลงมือทำการเปลี่ยนแปลงได้ทันที

 

 

 

คริสเตียน โคตส์ อุลริชเซน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไรซ์ ในเทกซัส มองว่า ความเคลื่อนไหวนี้เป็นการสานต่อความพยายามของมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ในการแต่งตั้งผู้นำใหม่ที่มีแนวทางสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของพระองค์เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง และสร้างความสมดุลราชวงศ์อัล ซาอุด

เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้นอกจากการโยกย้ายนายทหารสำคัญๆ แล้ว ครั้งนี้ยังมีการแต่งตั้งสตรีเข้ารับตำแหน่งระดับรัฐมนตรีด้วย ตามาดีร์ บินต์ โยซิฟ อัลรามมาห์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานและการพัฒนาสังคม นอกจากนั้นมีการแต่งตั้งเจ้าชายเตอร์กี บิน ตอลัล อัล ซาอุด ดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้ว่าการแคว้นอะซีร์ เจ้าชายองค์นี้เป็นพระอนุชาของเจ้าชายอัลวาลิด บิน ตอลัล นักธุรกิจอภิมหาเศรษฐีที่ถูกควบคุมตัวนานหลายเดือนในโรงแรมริตซ์คาร์ลตัน ซึ่งรัฐบาลอ้างว่า เป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามการทุจริต

 

 

ดังนั้นเวลานี้การปฏิรูปกองทัพของซาอุดีอาระเบีย และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างต่าง ๆ เพื่อการกระชับอำนาจของซาอุดีอาระเบีย เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่าทางด้านมกุฏราชกุมาร โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ที่กำลังแต่งตัวเพื่อรับหน้าที่ใหญ่ในอนาคตนั้น จะสามารถจัดการทุกอย่างได้ลงตัวหรือไม่ เพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในซาอุดีอาระเบีย อาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งภายในราชวงศ์ จนนำซึ่งการแย่งชิงอำนาจที่รุนแรงยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้