อียู เชิญ ซัคเคอร์เบิร์ก ให้การ! หลัง FB โดนกล่าวหาใช้ข้อมูลผู้ใช้บริการในทางการเมือง

อียู เชิญ ซัคเคอร์เบิร์ก ให้การ! หลัง FB โดนกล่าวหาใช้ข้อมูลผู้ใช้บริการในทางการเมือง

นายอันโตนิโอ มาจานี ประธานรัฐสภายุโรป (อียู) กล่าวว่า รัฐสภาได้เชิญนายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเฟซบุ๊ก เข้าให้การที่รัฐสภา หลังจากมีข่าวว่า มีการนำข้อมูลของผู้ใช้บริการของเฟซบุ๊กไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง

“เราได้เชิญ คุณมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เข้าให้การในรัฐสภายุโรป โดยเฟซบุ๊กต้องชี้แจงต่อหน้าตัวแทนชาวยุโรป 500 ล้านคน ว่า ข้อมูลส่วนบุคคลไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อขัดขวางกระบวนการประชาธิปไตย” นายมาจานี กล่าว

อียู เชิญ ซัคเคอร์เบิร์ก ให้การ! หลัง FB โดนกล่าวหาใช้ข้อมูลผู้ใช้บริการในทางการเมือง

 

“หากเรื่องนี้เป็นความจริง การล้วงข้อมูลส่วนบุคคลถือเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ และเป็นภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตย เรากำลังรอให้ตัวแทนจากเฟซบุ๊กให้การเรื่องความโปร่งใส และการเคารพในกฎระเบียบของอียู เกี่ยวกับการปกป้องข้อมูล” นายมาจานี กล่าว

ทั้งนี้ สื่อต่างประเทศรายงานว่า ผู้ใช้บริการเฟซบุ๊ก จำนวน 50 ล้านคน ถูกล้วงข้อมูลโปรไฟล์ หลังจากมีการโหลดแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า “thisisyourdigitallife” และหลังจากนั้น ข้อมูลดังกล่าวได้ถูกส่งต่อไปยัง แคมบริดจ์ อนาลิติกา บริษัทวิเคราะห์การเมือง ซึ่งได้ลงโฆษณาในเฟซบุ๊กเกี่ยวกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2559 และเอื้อประโยชน์ต่อทีมหาเสียงของนายทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2559

ด้าน นายดาเมียน คอลลินส์ สมาชิกรัฐสภาอังกฤษ ได้ส่งหนังสือฉบับหนึ่งถึงนายซัคเคอร์เบิร์ก เพื่อให้เขาเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการดิจิทัล, วัฒนธรรม, สื่อ และกีฬาของรัฐสภาอังกฤษ กรณีที่เฟซบุ๊กมีความเกี่ยวข้องกับ เคมบริดจ์ อนาลิติกา ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์การเมือง โดยนายคอลลินส์ให้เวลานายซัคเคอร์เบิร์กในการตอบรับหรือปฏิเสธคำเชิญดังกล่าวภายในวันที่ 26 มี.ค. หลังจากที่ผ่านมา เขายังคงนิ่งเฉยไม่ได้แสดงความเห็นต่อกรณีดังกล่าว

 

อียู เชิญ ซัคเคอร์เบิร์ก ให้การ! หลัง FB โดนกล่าวหาใช้ข้อมูลผู้ใช้บริการในทางการเมือง

 

ขณะที่ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (เอฟทีซี) กำลังสอบสวนว่า การที่เฟซบุ๊กมีการใช้ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้บริการ ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงที่ทางบริษัททำไว้กับทางเอฟทีซีในปี 2554 หรือไม่

 

 

ขอบคุณที่มา   ฐานเศรษฐกิจ