ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ แถลงเรื่องร่วมกับอังกฤษและฝรั่งเศสใช้ปฏิบัติการทางทหารถล่มซีเรีย โดยอ้างเรื่องรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรีย ใช้อาวุธเคมีกับชาวเมืองดูมา เมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 75 คน

ประธานาธิบดีทรัมป์ แถลงทางโทรทัศน์เมื่อคืนวันศุกร์ ตามเวลาสหรัฐ ตรงกับเช้าวันเสาร์ตามเวลาในไทย ว่าได้สั่งการให้กองทัพสหรัฐเปิดฉากโจมตีอย่างแม่นยำและจำเพาะต่อเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธเคมีของรัฐบาลซีเรีย เป็นปฏิบัติการร่วมกับอังกฤษและฝรั่งเศส ปีที่แล้วซีเรียได้ใช้อาวุธเคมีกับผู้บริสุทธิ์ของตนเอง สหรัฐตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธถล่มกองทัพอากาศซีเรียเสียหายร้อยละ 20 ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว รัฐบาลซีเรียได้ใช้อาวุธเคมีสังหารผู้บริสุทธิ์ในเมืองดูมา ใกล้กรุงดามัสกัส รัฐบาลที่เลวร้ายนี้ใช้อาวุธเคมีรุนแรงยิ่งขึ้นในการสังหารหมู่ผู้คน ทั้งที่ประเทศอารยะร่วมกันห้ามใช้อาวุธเคมีตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดไปเมื่อศตวรรษก่อน

การใช้ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐและพันธมิตรในครั้งนี้ จึงต้องการยับยั้งการผลิต แพร่กระจาย และใช้อาวุธเคมี เพราะมีความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ ดังนั้น สหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส จะร่วมกันตอบโต้ความโหดร้ายนี้ด้วยเครื่องมือทั้งหมดที่มีอยู่ ทั้งทางทหาร เศรษฐกิจ และการทูต โดยจะเดินหน้าต่อไปจนกว่ารัฐบาลซีเรียจะหยุดใช้สารเคมีต้องห้าม

ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวต่อไปว่า ขอใช้โอกาสนี้ส่งสารถึงรัฐบาล 2 ประเทศที่มีส่วนสำคัญที่สุดในการสนับสนุน ให้อุปกรณ์ และให้เงินทุนแก่รัฐบาลซีเรีย นั่นคือ อิหร่านและรัสเซีย ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย เคยรับปากในปี 2556 ว่าจะรับประกันเรื่องการกำจัดอาวุธเคมีในซีเรีย แต่การกระทำของซีเรียและการตอบโต้ของสหรัฐ คือ ผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการที่รัสเซียไม่ทำตามสัญญา รัสเซียจะต้องตัดสินใจแล้วว่าจะเดินตามทางผิดๆ ต่อไป หรือจะเข้าร่วมกับชาติอารยะในฐานะกองกำลังแห่งสันติภาพและเสถียรภาพ หวังว่าสหรัฐจะเป็นมิตรกับรัสเซียได้ในสักวันหรือแม้แต่กับอิหร่าน แต่คงไม่

ด้านนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ของอังกฤษ แถลงว่าได้สั่งการให้กองกำลังอังกฤษยิงขีปนาวุธนำวิถีจากอากาศสู่พื้นแบบแม่นยำไปลดระดับความสามารถด้านอาวุธเคมีของซีเรีย เพราะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้ปฏิบัติการทางทหาร เป็นการโจมตีร่วมกับสหรัฐและฝรั่งเศสแบบจำกัดและมีเป้าหมายเพื่อให้มีพลเรือนสูญเสียน้อยที่สุด ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ใช่การแทรกแซงสงครามกลางเมืองซีเรียและไม่ใช่การเปลี่ยนรัฐบาลซีเรีย แต่ทำไปเพราะมีหลักฐานสำคัญรวมทั้งข่าวกรองว่า รัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัลอัสซาดของซีเรีย ใช้อาวุธเคมีในเมืองดูมาเมื่อวันเสาร์ที่แล้วที่สังหารผู้คนไปถึง 75 คน โดยมีเด็กรวมอยู่ด้วย

ผู้นำอังกฤษกล่าวด้วยว่า อังกฤษและพันธมิตรพยายามใช้ช่องทางทางการทูตทุกอย่างหยุดยั้งการใช้อาวุธเคมี แต่ก็ถูกขัดขวางมาโดยตลอด รวมถึงการที่รัสเซียใช้สิทธิยับยั้งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเรื่องตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนเหตุใช้อาวุธเคมีในเมืองดูมา

ส่วนประธานาธิบดีเอ็มานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส แถลงเช่นเดียวกันว่า ได้สั่งการให้ใช้ปฏิบัติการทางทหารในซีเรียร่วมกับสหรัฐและอังกฤษ เพราะไม่สามารถปล่อยให้มีการใช้อาวุธเคมีอีก ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงทั้งต่อชาวซีเรียและความมั่นคงโดยรวม ชาย หญิงและเด็กในเมืองดูมาของซีเรียถูกสังหารหมู่เมื่อวันที่ 7 เมษายนด้วยอาวุธเคมี อันเป็นการละเมิดระเบียบสากลอย่างสิ้นเชิง และล้ำเส้นที่เขาขีดไว้เมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อนระหว่างพบกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียว่า หากมีการใช้อาวุธเคมีในซีเรียอีก ฝรั่งเศสจะตอบโต้ทันที ผู้นำฝรั่งเศสซึ่งได้ทวีตภาพกำลังประชุมกับที่ปรึกษาทางทหารและการทูตกล่าวด้วยว่า รัฐสภาจะอภิปรายเรื่องการใช้ปฏิบัติการทางทหารในซีเรียในเร็ว ๆ นี้

สำหรับรายละเอียดของปฏิบัติการโจมตีในครั้งนี้ พล.อ.โจเซฟ ดันฟอร์ด ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐ แถลงที่กระทรวงกลาโหมว่า ปฏิบัติการโจมตีซีเรียที่สหรัฐร่วมกับอังกฤษและฝรั่งเศส เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 21.00 น. วันศุกร์ ตามเวลาตะวันออกของสหรัฐ ตรงกับเวลา 08.00 น. วันเสาร์ ตามเวลาในไทย เป้าหมายที่ถูกถล่ม3 แห่ง เกี่ยวข้องกับโครงการอาวุธเคมีของซีเรีย ประกอบด้วย ศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ในกรุงดามัสกัส คลังเก็บอาวุธเคมีทางตะวันออกของเมืองฮอมส์ และคลังเก็บอุปกรณ์อาวุธเคมีและกองบัญชาการสำคัญ ใกล้กับคลังเก็บอาวุธเคมีในเมืองฮอมส์

การโจมตีเป้าหมายในซีเรียด้วยขีปนาวุธครั้งนี้มากกว่าการโจมตีซีเรียเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วราว 2 เท่า ยืนยันไม่มีกองกำลังสหรัฐ อังกฤษและฝรั่งเศสได้รับความสูญเสียจากปฏิบัติการโจมตีในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการโจมตีเพียงระลอกเดียวและได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ขณะที่ก่อนหน้านี้ มีรายงานจากสื่อท้องถิ่นในซีเรียว่ามีพลเรือนในเมืองฮอมส์ได้รับบาดเจ็บ 3 คน ส่วนสื่อสหรัฐอย่างซีเอ็นเอ็น อ้างผู้เห็นเหตุการณ์ว่าได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นในกรุงดามัสกัส

ด้านสถานีโทรทัศน์ของทางการซีเรีย รายงานว่า ระบบต่อต้านขีปนาวุธของซีเรียสามารถยิงขีปนาวุธของผู้รุกรานได้ 71 ลูกของที่ยิงเข้ามาทั้งหมดประมาณ 103 ลูก ชานกรุงดามัสกัส ขณะนี้กำลังประเมินความเสียหายอยู่ และว่าสามารถรับมือกับการโจมตีในเช้าวานนี้ได้เนื่องจากได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าจากรัสเซีย จึงได้อพยพฐานทัพทั้งหมดไปตั้งแต่ช่วง 2-3 วันก่อนแล้ว

ขณะที่สำนักข่าวซานาของทางการซีเรีย ประณามปฏิบัติการร่วมของตะวันตกว่า ละเมิดกฎหมายสากล ฝ่าฝืนเจตนารมณ์นานาชาติ และจะต้องล้มเหลว อีกทั้งยังมีขึ้นในจังหวะเดียวกับที่คณะทำงานขององค์การห้ามอาวุธเคมีเดินทางมาสอบสวนเรื่องที่กล่าวหาว่ามีการใช้อาวุธเคมีในเมืองดูมาของซีเรีย จึงเป็นการกระทำที่มีเป้าหมายหลักเพื่อขัดขวางการทำงานและผลการสอบสวนของคณะทำงานชุดนี้ หวังปกปิดเรื่องโกหกที่กุขึ้นมาทั้งสิ้น

ด้านกระทรวงต่างประเทศอิหร่านแถลงว่า สหรัฐและพันธมิตรไม่มีหลักฐานเรื่องการใช้อาวุธเคมีในซีเรีย และชิงใช้ปฏิบัติการทางทหารโดยไม่รอให้องค์การห้ามอาวุธเคมีเข้ามาทำหน้าที่ กลุ่มประเทศเหล่านี้จะต้องรับผิดชอบต่อผลจะที่ติดตามมาในภูมิภาคนี้ ถือเป็นการละเมิดระเบียบและกฎหมายสากลอย่างชัดแจ้ง นอกจากนี้ยังเป็นการรุกรานเพื่อชดเชยให้แก่กลุ่มก่อการร้ายที่ถูกกองทัพซีเรียกำราบในเขตกูตาตะวันออกเมื่อไม่นานมานี้ด้วย

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวอาร์ไอเอ โนวอสตีของรัสเซีย รายงานอ้างแถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมรัสเซียว่า สหรัฐ อังกฤษและฝรั่งเศสระดมยิงขีปนาวุธนำวิถีและขีปนาวุธจากอากาศสู่พื้นดินกว่าร้อยลูก ทั้งจากเรือรบสหรัฐในทะเลแดงและจากเครื่องบินทางยุทธวิธีเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและเครื่องบินทิ้งระเบิดทางตะวันออกเฉียงใต้ของซีเรีย มุ่งเป้าหมายทางทหารและพลเรือนของซีเรีย แต่ถูกระบบป้องกันภัยทางอากาศของซีเรียยิงสกัดได้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ขีปนาวุธนำวิถี 12 ลูก ที่ยิงมายังฐานทัพอากาศใกล้กรุงดามัสกัสก็ล้วนถูกยิงสกัดไว้ได้ทั้งหมด แต่ไม่มีการใช้งานระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซียที่ตั้งอยู่ในซีเรียแต่อย่างใด ก่อนหน้านี้ กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงว่า การโจมตีของตะวันตกไม่กระทบพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลของระบบป้องกันภัยทางอากาศรัสเซียรอบฐานทัพอากาศมีมิมและฐานทัพเรือทาร์ทูส

นายอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แถลงเรียกร้องให้ทุกประเทศใช้ความอดกลั้นท่ามกลางสภาพการณ์ที่อันตรายนี้ และหลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ ที่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง อันจะทำให้ชาวซีเรียต้องทุกข์ยากมากยิ่งขึ้น การใช้อาวุธเคมีเป็นเรื่องน่าชิงชังเพราะก่อให้เกิดสิ่งที่น่าสยดสยอง ทุกฝ่ายต้องเคารพกฎบัตรยูเอ็นและระเบียบสากล ขอให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นเห็นพ้องเรื่องตั้งคณะสอบสวนผู้ใช้สารเคมีกับชาวซีเรีย ขณะที่องค์การนิรโทษกรรมสากลเรียกร้องให้ระมัดระวัง จำกัดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด เพราะชาวซีเรียต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวและความสูญเสียมานานกว่า 7 ปีแล้ว อย่าให้พวกเขาต้องถูกลงโทษเพราะการกระทำของรัฐบาลซีเรียอีกเลย พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐเปิดประตูรับผู้ลี้ภัยที่หนีความรุนแรงในซีเรียด้วย

ด้านพันธมิตรสหรัฐพากันสนับสนุนการโจมตีซีเรีย นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) แถลงว่า สนับสนุนสหรัฐ อังกฤษและฝรั่งเศสเพราะจะลดโอกาสที่รัฐบาลซีเรียจะใช้อาวุธเคมีทำร้ายประชาชนอีก นาโตถือว่าการใช้อาวุธเคมีเป็นภัยต่อสันติภาพและเสถียรภาพสากล ประชาคมโลกจะต้องร่วมกันตอบโต้เรื่องนี้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดของแคนาดา และนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะของญี่ปุ่นที่สนับสนุนปฏิบัติการดังกล่าว

ส่วนตุรกีที่สนับสนุนฝ่ายต่อต้านในซีเรียแถลงว่า เห็นด้วยกับปฏิบัติการโจมตีซีเรียเพราะได้ช่วยสร้างสำนึกจากเหตุการณ์ในเมืองดูมาที่เชื่อกันว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลซีเรีย การใช้อาวุธทำลายล้างสูงรวมถึงอาวุธเคมีกับพลเรือนอย่างไม่เลือกหน้าถือเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่ผู้กระทำจะลอยนวลไปไม่ได้ ขณะที่กลุ่มเฮซบอลลาห์ในเลบานอนประณามสามชาติตะวันตกว่า การทำสงครามกับซีเรีย กับประชาชนในภูมิภาคนี้ และกับความเคลื่อนไหวต่อต้านจะไม่มีวันสำเร็จตามที่ต้องการ

ทั้งนี้ สงครามกลางเมืองซีเรียที่เริ่มจากประชาชนประท้วงต่อต้านรัฐบาลในวันที่ 15 มีนาคม 2554 ได้ลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งของหลายกลุ่มในซีเรีย โดยมีชาติมหาอำนาจเข้ามาร่วมด้วย แบ่งออกเป็นฝ่ายรัฐบาลซีเรียที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน รัสเซีย และเฮซบอลลาห์ ฝ่ายต่อต้านซีเรียที่ได้รับการสนับสนุนจากตุรกี ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์  และสหรัฐที่สนับสนุนจนถึงปีก่อน

ฝ่ายเคิร์ดทางตอนเหนือที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐและฝรั่งเศส ฝ่ายกลุ่มติดอาวุธที่มีทั้งกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) กลุ่มฮายัต ทาห์รีร์ อัลชาม และอีกหลายกลุ่ม และกองกำลังพันธมิตรนานาชาติมุ่งจัดการกับไอเอส และกลุ่มติดอาวุธ จนถึงขณะนี้ มีผู้คนล้มตายแล้วเกือบ 500,000 คน มีคนพลัดถิ่นในประเทศเกือบ 8 ล้านคน และมีผู้เสี่ยงตายลี้ภัยออกนอกประเทศอีกกว่า 5 ล้านคน