- 23 เม.ย. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
ด้านน.ส. ฮีทเธอร์ เนาเอิร์ต โฆษกหญิงกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ สหรัฐฯหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่ารัสเซียและซีเรียร่วมกันทำลายหลักฐานอาวุธเคมีในเมืองดูมา แต่กลับยังไม่มีการเปิดเผยหลักฐานอย่างชัดเจน แต่เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงหลักฐานเธอนั้นกลับบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามต่อ
สถานการณ์ในเมืองกูตาตะวันออกของซีเรีย ยังเป็นสถานการณ์ที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่สหรัฐฯ ได้ผนึกกำลังกับฝรั่งเศส และ อังกฤษ ส่งขีปนาวุธ กว่า 100 ลูก เข้าถล่มเมืองดูมาของประเทศซีเรีย โดยการกล่าวอ้างว่าทางด้านกองทัพซีเรีย ใช้อาวุธเคมีในการทำร้ายประชาชน จนบาดเจ็บล้มตายเฉียดร้อยราย แต่ทว่ากองทัพซีเรีย ก็ปฏิเสธเรือ่งดังกล่าวมาโดยตลอด รวมถึงรัสเซีย ที่เป็นพันธมิตรหลักของซีเรีย ก็ยืนยันว่าไม่มีการใช้อาวุธเคมีแต่อย่างใด จนนำมาซึ่งการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมาทางด้าน สถานีโทรทัศน์ทางการรัสเซีย Rossiya 24 เผยแพร่บทสัมภาษณ์ ฮัสซัน ดีอับ เด็กชายซีเรียวัย 11 ปี ที่อยู่ในคลิปวิดีโอของกลุ่มไวท์เฮลเมท ที่เด็กกำลังได้รับการปฐมพยาบาล ด้วยการใช้น้ำจากสายยางล้างหน้าล้างตัว แต่จริงๆทุกคนถูกหลอกให้ไปร่วมแสดงเพื่อแลกกับขนม
เด็กชาย เล่าว่า หลังการโจมตีในวันนั้น เขาได้ยินเสียงคนตะโกนโหวกเหวกบนถนน และบอกให้คนรีบไปรวมตัวกันที่โรงพยาบาล พอไปถึง มีคนมารวบตัวไว้
ระหว่างนั้น มีการบันทึกคลิปเด็กชายและคนอื่นๆได้รับการล้างหน้าล้างตัว ในคลิปโจมตีอาวุธเคมีที่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลก แต่ทีวีรัสเซียระบุว่าชาวบ้านช่วยจัดฉากถ่ายทำแลกกับอาหาร
ขณะที่ทางด้านอมาร์ พ่อของเด็ก กล่าวว่า เขาทำงานอยู่ข้างนอกก่อนตามไปที่โรงพยาบาลและตอนสูบบุหรี่อยู่ด้านนอก ก็ไม่รู้สึกถึงอะไรเลย พวกเขาแจกจ่ายอินทผาลัม บิสกิตและข้าวให้กับผู้เข้าร่วมถ่ายทำ แล้วปล่อยกลับบ้าน
นอกจากนี้ ทีวีรัสเซียยังสัมภาษณ์หมอคนหนึ่งที่อ้างว่า ไม่มีคนไข้รายใดแสดงอาการว่าถูกอาวุธเคมี หมอทุกคนวุ่นวายดูแลคนป่วย ไม่มีเวลามายุ่งกับทีมงานถ่ายทำของไวท์ เฮลเมท
ซึ่งข่าวดังกล่าวนั้นตรงกับทางด้านกองทัพรัสเซีย ได้ยืนยันมาตลอดว่าไม่มีการโจมตีด้วยอาวุธเคมีเกิดขึ้นที่ดูมา ทั้งหมดเป็นการจัดฉากของ ไวท์ เฮลเมท กลุ่มเอ็นจีโอที่รัสเซียระบุว่าได้รับเงินสนับสนุนจากสหรัฐฯ และจัดฉากถ่ายทำคลิปการโจมตีด้วยอาวุธเคมีมาแล้วหลายครั้ง
ในขณะที่วันเสาร์ ที่ 21 เมษายน 2561 ที่ผ่านมาทางด้านแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ได้ระบุว่า คณะผู้ตรวจสอบขององค์การห้ามอาวุธเคมี (โอพีซีดับเบิลยู) เดินทางถึงซีเรีย 1 สัปดาห์แล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินทางไปยังเมืองดูมา เขตกูตาตะวันออก แถบชานกรุงดามัสกัส ทางตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัย
กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียยังระบุว่า โอพีซีดับเบิลยูจะตรวจสอบ อย่างเป็นกลาง และนี่เป็นการเยือนพื้นที่เป็นครั้งแรก หลังมีการกล่าวหาว่ามีการใช้อาวุธเคมี
โดยที่ทางด้าน พล.ท. เคนเนธ แมคเคนซี เสนาธิการกองกำลังนาวิกโยธินสหรัฐฯ ได้ออกมาให้ข้อมูลอีกทางหนึ่งว่าทางด้านกองทัพซีเรียยังคงมีศักยภาพเพียงพอในการผลิตอาวุธเคมี เนื่องจากยังคงมีวัตถุดิบสำคัญ ซุกซ่อนกระจายอยู่ตามสถานที่อีกหลายแห่งในซีเรีย แต่ขีดความสามารถน่าจะมีอยู่อย่างจำกัด แล้ว หลังคลังอาวุธเคมีถูกทำลายในปฏิบัติการทางทหาร เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ด้านน.ส. ฮีทเธอร์ เนาเอิร์ต โฆษกหญิงกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ สหรัฐฯหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่ารัสเซียและซีเรียร่วมกันทำลายหลักฐานอาวุธเคมีในเมืองดูมา แต่กลับยังไม่มีการเปิดเผยหลักฐานอย่างชัดเจน แต่เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงหลักฐานเธอนั้นกลับบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามต่อ
ขณะที่ทางด้านนายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้เดินทางไปที่สวีเดน โดยมีทางด้านเอกอัครราชทูตของ 15 ชาติสมาชิกยูเอ็นเอสซี และ เข้าร่วมการประชุมสัญจรอย่างไม่เป็นทางการ ที่เมืองบัคคากรา ทางภาคใต้สุดของสวีเดน ซึ่งเป็น 1 ใน 10 ชาติสมาชิกประเภทหมุนเวียน เพื่อพยายามหาข้อสรุปเกี่ยวกับวิธียุติสงครามสู้รบในซีเรีย
ส่วนทางด้าน ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัส ซาด ได้ทำการส่งมอบเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้น กรังด์ ครัวซ์ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด และได้รับมอบเมื่อปี 2544 จากประธานาธิบดีฌัก ชีรัก ผู้นำฝรั่งเศสในเวลานั้น กลับคืนให้แก่รัฐบาลฝรั่งเศสแล้ว โดยได้ผ่านการประสานงานกับสถานเอกอัครราชทูตโรมาเนียประจำกรุงดามัสกัส ซึ่งการตัดสินใจของผู้นำซีเรียนั้น เกิดขึ้นหลังฝรั่งเศสเข้าร่วมปฏิบัติการโจมตีทางทหารกับสหรัฐฯ และอังกฤษ ที่ทำลายเป้าหมาย 3 แห่งในซีเรีย เมื่อวันที่ 14 เมษายน ที่ผ่านมา โดยผู้นำซีเรียระบุว่าไม่ต้องการประดับเครื่องอิสริยาภรณ์จากประเทศที่เป็นทาสของอเมริกา อีกต่อไป ในขณะที่ทำเนียบเลลีเซออกแถลงการณ์ ว่าประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครอง มีคำสั่งให้ ตรวจสอบทางวินัย เพื่อเรียกคืนเครื่องอิสริยาภรณ์จากผู้นำซีเรีย
ต้องตามดูกันต่อไปว่า หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์เข้าพื้นที่แล้ว จะปรากฏหลักฐานอย่างที่สหรัฐฯ กล่าวอ้างหรือไม่