- 29 มิ.ย. 2559
ติดตามข่าวสาร ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th
เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 59 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ระบุว่า จะมีการหารือกับ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ว่า นักการเมืองมีการพูดคุยกันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ นักการเมืองอาจถูกมองว่าสร้างประเด็นทางการเมืองขึ้นมา หรือทำให้เกิดความหวาดระแวง ซึ่งจะทำให้เกิดช่องว่างกับฝ่ายอื่นมากขึ้น ว่าคิดแต่เรื่องของตนเอง จะเป็นปัญหา อีกทั้งนักการเมืองก็แสดงความเห็นกันอยู่แล้ว จึงไม่ควรสร้างปมปัญหาทางการเมืองขึ้นมาอีก โดยดูได้จากปฏิกิริยาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า คสช. ที่มองว่าอาจมีอะไรแอบแฝง ดังนั้น สิ่งที่ควรทำคือสร้างความไว้วางใจในสังคม ซึ่งตนเข้าใจว่าแม้พรรคการเมืองจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาในอดีต แต่ไมได้หมายความว่าเลวทุกเรื่อง หรือเลวทุกคน แต่บ้านเมืองก็หนีการเมืองระบบตัวแทนไม่ได้ จึงต้องรับฟังมุมมองซึ่งกันและกัน
"ที่ผมฟังจาก คุณนิพิฏฐ์ เป็นการปรารภระหว่างพบกันในวงเสวนาว่า นักการเมืองควรคุยกันบ้าง แต่ต้องบอกตรงๆ ว่า คุณนิพิฏฐ์ ไม่คิดว่า คุณหญิงสุดารัตน์ จะนำไปพูดบนเวทีจนกลายเป็นเหมือนจะเป็นการพูดคุยเป็นทางการ เมื่อเป็นในอารมณ์นี้ ปฏิกิริยาของนายกฯ จึงเกิดความรู้สึกระแวงว่า การเมืองกำลังสมคบ หรือสุมหัวทำอะไรกันหรือเปล่า ดังนั้นดีที่สุดคือการเปิดพื้นที่การเมืองรับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน โดยมีการพูดคุยระหว่างพรรคการเมืองกับผู้มีอำนาจ และฝ่ายอื่นๆ ทางสังคม ไม่ใช่พูดคุยกันเองเพื่อมองบทบาทของแต่ละฝ่ายในวันข้างหน้า ผมจึงไม่เห็นประโยชน์ที่จะมีการพูดคุยระหว่างนักการเมืองในขณะนี้ ในที่สุดคงไม่มีการรวมตัวแบบนั้น เพราะไม่ใช่เวลาที่จะทำอย่างนั้น" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า การพูดคุยระหว่างคนที่เคยทำงานการเมือง สามารถทำได้ตลอดเวลา เช่น ตนก็พูดคุยได้ แต่ต้องอยู่บนหลักของประโยชน์ส่วนรวม ลดช่องว่างระหว่างพรรคการเมืองกับฝ่ายอื่นๆ ไม่มีประโยชน์ที่จะทำให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้นระหว่างพรรคการเมือง กับผู้มีอำนาจในปัจจุบัน หรือกับภาคประชาสังคม ต้องปรับเปลี่ยนบรรยากาศตรงนี้ให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นประเทศจะเดินหน้าไม่ได้
"บทบาทที่ดีที่สุดสำหรับภาคการเมือง ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ คือ เมื่อ คสช.เปิดพื้นที่ทางการเมืองแบบมีเงื่อนไข คือถ้าไม่สบายใจในรูปแบบใด เช่น ไม่อยากให้มีการปราศรัย หรือทำงานมวลชน ก็ไม่เป็นไร ตนไม่ติดใจ แต่ต้องให้พรรคการเมืองได้ทำงานแบบสร้างสรรค์แบบที่ปฏิรูปแล้ว อย่ามองว่านักการเมืองมีไว้สำหรับตอนเลือกตั้ง บ้านเมืองจะปฏิรูปไม่ได้ ตนจะต้องบีบบังคับให้พรรคการเมืองมาแสดงความเห็นเรื่องปัญหาประชาชน โดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งหรืออำนาจ เพราะเป็นหน้าที่พรรคการเมืองต้องแสวงหานโยบาย ต้องรับรู้ปัญหาต่างๆ ของประชาชน ยิ่งไปเน้นการเลือกตั้งรอวันเลือกตั้งใครชนะไปเป็นรัฐบาล" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า การที่นักการเมืองออกมาแสดงท่าทีว่า ควรจะมีการหารือกัน และตรงนี้อาจทำให้นายกฯ เกิดความไม่สบายใจได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่สุดแล้วคงไม่มีการไปรวมตัวอะไรกันแบบนั้น และคิดว่าไม่ใช่เวลาที่จะไปทำอะไรแบบนั้นเลย สิ่งที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า คือ ถ้าพรรคการเมืองมีข้อเสนอที่เป็นประโยชน์กว่า ทั้งที่เกี่ยวกับตัวเองด้วย และมีทางในการที่จะเกิดการรับฟังในมุมมองที่แตกต่างกันอยู่ระหว่างผู้มีอำนาจ อย่างนั้นจะมีประโยชน์มากกว่า
สำหรับบรรยากาศการออกเสียงประชามติ นับจากวันนี้จนถึงวันที่ 7 ส.ค.นั้น นายอภิสิทธิ์ มองว่าสิ่งที่ต้องระวังคือ ต้องดูผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับมาตรา 61 วรรคสอง ของร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ว่า จะออกมาอย่างไร และตนยืนยันว่า หากยังเดินต่อไปเช่นนี้ก็จะเป็นประชามติที่ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งน่าเสียดายโอกาส