เข้าใจตรงกันนะ...พล.อ.ประวิตรย้ำชัด ศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยประชามติ ไม่เหมือนศูนย์ปราบโกง นปช.

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุถึงการตั้งศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยประชามติ ว่า ที่ผ่านมา มีความร่วมมือระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัด ทหาร ตำรวจมานานแล้ว แต่ขณะนี้ต้องการให้การจัดตั้งศูนย์ฯ มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อรองรับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยบูรณาการร่วมกัน และเน้นดูแลความมั่นคงภาพรวมทั้งหมด

        

พร้อมย้ำว่า ศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยประชามติ ไม่เหมือนศูนย์ปราบโกง ที่นปช.จัดตั้งขึ้น เพราะศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยประชามติของรัฐบาล เป็นการทำงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย รวมทั้งทหาร

ขณะที่ รมว.กลาโหม ยืนยัน แผนจัดหาเรือดำน้ำจีนของกองทัพเรือผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ พร้อมมั่นใจขีดความสามารถเรือดำน้ำจีน พร้อมระบุถึงโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ 1 ลำ มูลค่า 12,000 ล้านบาท ที่ได้ถูกบรรจุไว้ในแผนงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2560 ว่า โครงการจัดหาเรือดำน้ำเป็นไปตามแผนของกองทัพเรือ ที่ดำเนินการมานานแล้ว โดยผ่านคณะกรรมการพิจารณาจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการเลือกจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน

        

ทั้งนี้ ยังมีขั้นตอนการดำเนินการต่างๆ ก่อนจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ดังนั้น จึงไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไป พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ทุกครั้งที่กองทัพเรือจะจัดซื้อเรือดำน้ำมักจะมีกระแสต่างๆ ออกมาเสมอ ทั้งที่กองทัพเรือ ได้มีการพิจารณาทุกขั้นตอนอย่างรอบคอบ ขณะเดียวกัน เชื่อมั่นว่า เรือดำน้ำจีน มีความเหมาะสมทั้งด้านราคาและประสิทธิภาพ เพราะภายใต้งบประมาณจำกัดอาจไม่สามารถซื้อเรือดำน้ำที่มีราคาสูงของบางประเทศได้ โดยยืนยันว่า ไม่ได้กดดันให้กองทัพเรือ เลือกซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน

        

พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวถึงกรณีกระแสสังคม เรียกร้องให้แก้กฎหมายอาญา ให้ประหารชีวิตคนร้ายที่ก่อเหตุข่มขืน ว่า ต้องให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. เป็นผู้พิจารณา เนื่องจากไทยงดเว้นโทษประหาร นานแล้ว แต่ทั้งหมดก็ขึ้นกับสังคม ส่วนตัวให้ความเห็นไม่ได้ ต้องดูนักกฎหมายและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง

        

ส่วนการที่กระแสสังคมสนับสนุนให้ขึ้นบัญชีดำนักเรียนที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาท รวมถึงเด็กแว้น ให้เป็นทหารเกณฑ์ทันที เมื่ออายุครบกำหนดเข้ารับการตรวจเลือกทหารกองประจำการนั้น ยังเป็นเพียงแนวคิด แต่ในด้านการปฏิบัติจะต้องมีกฎระเบียบที่ชัดเจน ซึ่งปกติชายไทยทุกคนมีหน้าที่ต้องไปเกณฑ์ทหาร ทั้งนี้ ต้องให้หน่วยบัญชาการรักษาดินแดนเป็นผู้ศึกษากฎหมายว่า ทำได้หรือไม่