ยิ่งดิ้นยิ่งเจ็บ "ธัมมชโย" ไม่ยอมมอบตัวคนรอบข้างมีแต่จะเดือดร้อน

ส่งสัญญาณออกมาอีกครั้งสำหรับการออกหมายค้นวัดพระธรรมกายเพื่อนำมาสู่การจับกุมพระธัมมชโย

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้หารือถึงการที่จะต้องทำงานประสานกับ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ซึ่งมีการแบ่งงานเป็น 2 ส่วนที่ต้องทำต่อ คือ เรื่องของคดีความ เนื่องจากมีหมายจับอยู่ คดีอยู่ที่อัยการ กระบวนการทางกฎหมายต้องเป็นไปตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และอัยการดำเนินการขณะเดียวกันในส่วนของคณะสงฆ์ สิ่งที่ตนจะดำเนินการต่อไป คือจะประสานงานกับสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง พระราชวิสุทธิเวที เจ้าคณะภาค 1 และเจ้าคณะจังหวัด และพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยสนับสนุนให้การแก้ไขปัญหาเดินได้ต่อไป และแม้จะอยู่ในช่วงเข้าพรรษา ก็ไม่เป็นอุปสรรค หรือข้อห้ามในการดำเนินการตามกฎหมาย สามารถทำได้ แต่หากมีปัญหาหรืออุปสรรคก็สามารถหารือกับคณะสงฆ์ได้ ดีเอสไอสามารถนำกำลังเข้าไปดำเนินการจับกุมพระธัมมชโยระหว่างนี้ได้หรือไม่ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า ตนตอบแทนไม่ได้ คงต้องดูหลายอย่างให้รอบด้าน แต่สิ่งที่เราต้องการให้เกิดความราบรื่นมากที่สุด คือถ้าพระธัมมชโยออกมารับทราบข้อกล่าวหา ดำเนินการตามกระบวนการตามกฎหมายก็น่าจะดีกับทุกอย่าง ยืนยันว่า รัฐบาลจะเดินหน้าต่อ และรัฐบาลไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายได้

ส่วนวิธีการและมาตรการที่รัฐบาลจะใช้ มีทั้งมาตรการในหลายรูปแบบด้วยกัน แต่ตนไม่สามารถตอบแทนฝ่ายที่บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ เพราะการจับกุมพระธัมมชโย ไม่สามารถจับกุมเข้าเรือนจำได้ทันทีในฐานะที่เป็นบรรพชิต ต้องศึกจากความเป็นพระก่อน ซึ่งวิธีการดังกล่าว ที่ฝ่ายรัฐบาลกำลังดำเนินการ ถือว่าเป็นวิธีละมุนละม่อม แต่ก็ยังถูกปฏิเสธ มาจากวัดพระธรรมกายในการที่จะให้พระธัมมชโยมอบตัว ขณะเดียวกันในวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองหลวง ปทุมธานีได้แถลงข่าวความคืบหน้าคดีเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย และได้ออกมาเน้นย้ำว่าศิษย์วัดธรรมกายอย่าได้ชุมนุมขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมจะดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดทุกรายอย่างแน่นอน

พ.ต.อ.เขมพัทธ์ โพธิพิทักษ์ ผกก.สภ.คลองหลวง เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากคดีเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย ที่มีบุคคลได้ร้องทุกข์ ทางสภ.คลองหลวง ได้แบ่งกลุ่มคดีเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย แบ่งออกเป็น3กลุ่มได้แก่

1.คดีที่หลวงปู่พุทธอิสระจำนวน4คดี ได้ตั้งคณะพนักงานสอบสวนเพื่อทำการสอบสวนคดีดังกล่าวโดยเฉพาะ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน

2.คดีที่ศิษย์วัดพระธรรมกายกล่าวหา จำนวน11คดี อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน

3.คดีที่เกิดจากกรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกายจำนวน10คดี ตามที่เคยได้แถลงข่าวไปเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม2559

ซึ่งมีความคืบหน้า หมวดความผิดเกี่ยวกับการกีดขวางทางสาธารณะ7คดี ทำการเปรียบเทียบปรับไปแล้วทั้งหมด หมวดความผิดเกี่ยวกับยุทธภัณฑ์ทหารหรือรั้วลวดหนาม (หีบเพลง) 1คดี อยู่ระหว่างการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

หมวดความผิดเกี่ยวกับการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ปัจจุบันได้สืบสวนจนรู้ตัวแล้ว10คน ฟ้องให้ศาลตัดสินแล้ว1คน เข้ามอบตัว3คน ไม่มาตามหมายเรียก6คน ในส่วน6คน ที่ไม่มาตามหมายเรียกพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ให้มาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 20กรกฎาคม2559 หากไม่มาตามหมายเรียกจะพิจารณาขออนุมัติศาลออกหมายจับต่อไป ทั้งนี้ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ก.ค.2559 ที่ผ่านมาสภ.คลองหลวง ได้สรุปสำนวนการสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง ดร.วิระศักดิ์ ฮาดดา นาบกอบต.คลองสาม ในฐานความผิดจัดให้มีการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งการชุมนุม ตามพรบ.การชุมนุมสาธารณะพ.ศ.2558 ส่งพนักงานอัยการจังหวัดธัญบุรีเพื่อฟ้องศาล ดังนั้นขอย้ำพี่น้องประชาชนว่า หากกรมสอบสวนคดีพิเศษได้เข้าทำการตรวจค้นวัดพระธรรมกายตามหมายศาลครั้งที่ 2 ขออย่าได้ชุมนุมขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เพราะสถานีตำรวจภูธรคลองหลวง จะดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดทุกรายอย่างแน่นอน

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่าฝ่ายรัฐได้พยายามสื่อสารกลับเข้าไปอีกครั้งหนึ่งว่าต้องการที่จะเจรจาต่อรองเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่ทั้งนี้ถ้าหากว่าท้ายที่สุดแล้ว ยังไม่สามารถเลือกวิธีเจรจาได้ จะนำไปสู่การบุกเข้าไปจับกุมรอบที่สอง และก็ได้มีการประกาศเตือนแล้วว่าสำหรับผู้ที่ออกมาขัดขวาง ก็จะถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด

ขณะที่อีกหนึ่งเรื่องร้อนที่เกี่ยวข้องกับพระธัมมชโย คือ จากการที่เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ สวนป่าหิมวันต์ อ.ภูเรือ จ.เลย ซึ่งพบว่ามี โฉนดมีชื่อพระธัมมชโย อยู่ด้วย ตามที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ และรัฐบาล โดย ฯพณฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายในการแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น โดยได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 324/2558 ลงวันที่ 29 ต.ค.58 กำหนดให้มีการแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นที่มีพฤติการณ์เป็นผู้กระทำความผิด 16 มูลฐานความผิด และ คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 13/2559 ลงวันที่ 29 มี.ค.59 เรื่อง การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ นั้น จากการสืบสวน หาข่าวของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง พบว่าในพื้นที่ สวนป่าหิมวันต์ อ.ภูเรือ จ.เลย มีการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้าง บุกรุกที่สาธารณะและทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และได้รับคำสั่งให้เข้าดำเนินการสืบสวน สอบสวน จับกุมตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี   วันนี้ (14 ก.ค.59) เวลาประมาณ 06.00 น. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพลและมือปืนรับจ้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.เดชา ชวยบุญชุม ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้ควบคุม กำกับดูแลการปฏิบัติ ได้ร่วมกันปิดล้อม ตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายข้างต้น ตามหมายค้นศาลจังหวัดเลย ที่ 196/2559 ลง 13 ก.ค.59 และหมายค้น ศาลจังหวัดเลย ที่ 197/2559 ลง 14 ก.ค.59 ผลการตรวจค้นมีรายละเอียด ดังนี้  สวนป่าหิมวันต์ เลขที่ 191 ม.1 ต.ร่องจิก อ.ภูเรือ จ.เลย เป็นสถานปฏิบัติธรรม ไม่มีพระสงฆ์อยู่ประจำ

มีเนื้อที่รวม 193-1-20 ไร่ โดยมีสิ่งปลูกสร้าง ดังนี้

1. กุฏิ     2   หลัง

2. อาคารปฏิบัติธรรม    1  หลัง

3. อาคารโรงอาหาร    1  หลัง

4. อาคารโรงครัว (กำลังก่อสร้าง)  1   หลัง

5. บ้านพักผู้ปฏิบัติธรรม    150  หลัง

6. บ้านพักรับรอง     3   หลัง

และได้ตรวจพบการกระทำความผิด คือ

1) มีการสร้างอาคาร (กุฏิ) รุกล้ำเข้าไปในลำห้วยน้ำข้าวมัน

 อันเป็นความผิดฐาน “ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือ หรือครอบครองป่า เพื่อตนเองหรือผู้อื่น” ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 และมีความผิดตาม ม.9 (108 ทวิ) ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 และ “ก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต” ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522

2) มีการยึดครองที่ดินที่เป็นทางสาธารณะประโยชน์   อันเป็นความผิดฐาน “เข้าไปยึดถือ ครอบครอง รวมตลอดถึงการก่อสร้าง หรือ เผาป่าฯ” และมีความผิดตาม ม.9 (108 ทวิ) ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 และ “ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณะประโยชน์” ตาม ป.อาญา ม.360

3)มีการออกหลักฐาน นส.3 ก อันเป็นเท็จ รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าภูเปือย ป่าภูขี้เถ้าและป่าภูเรือ  จำนวน 45-0-72 ไร่ (จากการรวม นส.3 ก จำนวน 10 แปลง มีเนื้อที่รวม 84-3-21 ไร่ ไปเป็น นส.3 ก ฉบับเดียว โดยออกให้ในชื่อ พระไชยบูลย์ สุทธิผล แต่กลับมีเนื้อที่เพิ่มขึ้นเป็น 129-1-10 ไร่)   อันเป็นความผิดฐาน “ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือ หรือครอบครองป่า เพื่อตนเองหรือผู้อื่น” ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484, “เข้าไปยึดถือ ครอบครอง รวมตลอดถึงการก่อสร้าง หรือ เผาป่าฯ” และมีความผิดตาม ม.9 (108 ทวิ) ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 และ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ม.14

4) มีการขุดเจาะน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาตและลึกเกินกว่ากฎหมายกำหนด

อันเป็นความผิดฐาน “ประกอบกิจการน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต” ตาม ม.16 พ.ร.บ.น้ำบาดาล พ.ศ.2520

5) พบไม้กระยาเลยแปรรูปหวงห้าม (ไม้ประดู่)   256 แผ่น/เหลี่ยม คิดเป็นปริมาตรไม้ 3.99 ลบ.ม.  จึงได้แจ้งข้อหาและจับกุมตัว นายบุญเพ็ง สุวรรณชาติ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 130 ม.1 ต.ร่องจิก อ.ภูเรือจ.เลย ซึ่งรับเป็นเจ้าของไม้

  ข้อหา   “มีไม้กระยาเลยหวงห้ามแปรรูปไว้ในความครอบครองเกิน 0.20 ลบ.ม. โดยไม่ได้รับอนุญาต” และ “รับไว้ด้วยประการใดๆ ซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสียซึ่งของที่ตนรู้ว่ามีผู้ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 และนอกจากนี้ ยังพบการกระทำความผิดที่ ลำห้วยน้ำข้าวมัน บ้านกกโพธิ์ ม.8 ต.ร่องจิก อ.ภูเรือ จ.เลย

6) มีการก่อสร้างฝายน้ำล้น ปิดกั้นทางเดินน้ำ ในลำห้วยน้ำข้าวมัน

  ซึ่งเป็นความผิดฐาน “ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือ หรือครอบครองป่า เพื่อตนเองหรือผู้อื่น” ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 และมีความผิดตาม ม.9 (108 ทวิ)ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 และ “ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณะประโยชน์” ตาม ป.อาญา ม.360

ซึ่งการกระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป และในวันนี้ฝั่งธรรมกายก็ออกมาชี้แจงกับเรื่องที่เกิดขึ้น พระมหานพพร ปุญฺญชโย ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย กล่าวชี้แจงกรณีกระแสข่าวเรื่องที่ดินสวนป่าหิมวันต์ ใน อ.ภูเรือ จ.เลย ว่า พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้บริจาคที่ดินผืนดังกล่าวให้กับวัดแล้ว แต่ในภาพเอกสารสิทธิ์ที่เผยแพร่ออกไปตามสื่อต่างๆ ไม่ได้ปรากฏชื่อสุดท้ายของผู้ถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งเป็นชื่อวัดพระธรรมกาย ข้อเท็จจริงคือ หลวงพ่อธัมมชโยได้มอบให้ตัวแทนทำหนังสือมอบที่ดินให้เป็นของวัดตั้งแต่ปี 2549 แล้ว จากนั้นจึงเป็นขั้นตอนของทางราชการ ในการพิจารณาและออกเอกสารการโอนให้เมื่อปี 2555 (ตามที่ปรากฏหลังเอกสารสิทธิ์) ดังนั้น ที่ดินผืนนี้จึงถือได้ว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์มาแล้วเกือบ 10 ปี และปัจจุบันใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของสาธุชน โดยผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมต้องถือศีล 8 นั่งสมาธิ ฟังธรรม ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ หลวงพ่อธัมมชโยมีวัตถุประสงค์เพื่อยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนา และพุทธศาสนิกชนโดยรวม มิได้มีความประสงค์ที่จะนำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปใช้สอยเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด

พระพุทธะอิสระ เดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ จากกรณีบนโลกออนไลน์ออกมาเปิดเผยว่ามีการซื้อที่ดินเนินเขาบริเวณบ้านใหม่วังผาปูน ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ กว่า 300 ไร่ ในราคาประมาณ 3 ล้านกว่าบาท โดยซื้อในนามมูลนิธิธรรมอิสระของวัดอ้อน้อย ร่วมกับบริษัท พฤกชเวช จำกัด พระพุทธอิสระ ระบุว่า “วันนี้นำข้อมูลการบุกรุกที่ดินตั้งแต่ปี 2532 ในจังหวัดต่างๆ ซึ่งมีทั้งป่าสงวน ป่ารกร้าง ป่าที่มีผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ มามอบให้กรมป่าไม้ โดยยอมรับว่าตนเองบุกรุกที่ดินจริง และต้องการให้กรมป่าไม้ดำเนินคดีทั้งทางแพ่ง และอาญา เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานในการดำเนินการกับบุคคลที่รุกพื้นที่ป่า โดยเฉพาะ พระเทพญาณมหามุณี หรือ พระธัมมชโย พร้อมยืนยันว่า หลายพื้นที่ไม่มีโฉนด แต่ไม่เคยถือครองกรรมสิทธิที่ดิน และเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่าเข้าไปเพื่อทำการปลูกป่า ฟื้นฟูที่ดินเท่านั้น เพราะเป็นคนรักป่า”

ส่วนกรณีที่มีสื่อบางสำนักนำเสนอข่าวว่า ว่า ตนเองมีการก่อสร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ป่าบางจุดนั้น จะดำเนินการอย่างแน่นอน เพราะเป็นการนำเสนอข่าวเท็จ ยืนยันทั้งชีวิตนี้ตนเองไม่เคยมีทรัพย์สิน และก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ป่า และการเข้าไปปลูกป่าแต่ละครั้งมีข้าราชการทุกระดับเข้าร่วมทุกครั้ง มีภาพประกอบชัดเจน แต่ไม่ต้องการพาดพิงถึงใครขอให้เอาผิดกับตนเองแต่เพียงผู้เดียว