แค่เรื่องมารยาท!!!...ทำไม"สมศักดิ์ เจียมฯ"ถึงกับต้องร่ายยาวประวัติศาสตร์ กับมารยาของเด็กแบบ"เนติวิทย์"

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th

กรณี นาย เนติวิทย์ฯ แสดงอาการไม่ยอมรับ ในประเพณีอันดีงาม ของจุฬาฯ โดยแสดงออกด้วยการไม่ยอม ถวายบังคม ต่อหน้า พระบรมรูป ร.5 และ ร.6 ท่ามกลางนิสิตปีหนึ่งและ อาจารย์ ที่กำลังร่วมพิธี ถวายสัตย์ปฏิญาน ต่อหน้าพระบรมรูป แล้วเดินออกจากลานพิธีไปอย่างหน้าตาเฉย โดยให้เหตุผลผ่าน เฟซบุ๊คของตัวเองว่า" รัชกาลที่ห้าได้ทรงโปรดให้ยกเลิก ธรรมเนียมการหมอบกราบไปแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องมี พิธีการเยี่ยงนี้ อีกต่อไป" (อ่านข่าวเพิ่มเติม >>>http://headshot.tnews.co.th/contents/196418/เท่ห์ไปเลยครับเพ่ !!!..."เนติวิทย์" กับเพื่อน 2 คน ลุกออกจากพิธีถวายสัตย์นิสิตจุฬาฯ แถมโพสต์คลิปโชว์ แต่ดันลบไปแล้วพร้อมคำชี้แจงแบบนี้ (มีรายละเอียด))

ล่าสุดก็เป็นทางด้านของนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ซึ่งเป็นผู้ต้องหา ม.112 ก็ได้มีการโพสต์เฟสบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว โดยที่ได้ร่ายยาวถึง เรื่องประวัติศาสตร์ โดยระบุดังนี้

 

สิ่งที่เรียกว่า มรดกประวัติศาสตร์นี้ ความจริงเป็นเพียง"ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง" ครับคือการมาให้ความสำคัญอะไรกับพิธีกรรม อะไรแบบที่ว่าเป็นอะไรทีเพิ่งจะเกิดขึ้นประมาณ 2-3 ทศวรรษที่แล้วนี้เอง

 

เช่นเดียวกับอีกหลายอย่างในลักษณะเดียวกัน (ไม่เพียงในจุฬา แต่ในสังคมวงกว้างออกไป)พวก "พิธีกรรม" เหล่านี้ (หรือการแสดง "ความมีวัฒนธรรม" ทำนองนี้- "เคารพบนอบต่อ "จารีต"ต่างๆ) มันมาพร้อมกับการเติบโตของชนชั้นกลางในเมืองที่มี "ราก" ที่ความเป็นลูกหลานจีนเป็นหลัก ช่วงตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2520 - ทศวรรษ 2530 คนเหล่านี้เพราะความที่ไม่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง (จะเป็นจีนก็ไม่ได้ เพราะห่างกันเกินไป) ก็พยามยาม "แสวงหา" หรือ "สร้าง" เอกลักษณ์ที่คิดว่าเป็นแบบไทย ๆ คือแม้แต่กรณีแบบนี้ ที่รู้กันดีว่า ร.๕ เลิกไปแล้ว ก็กลายเป็นอะไรที่เอากลับมาส่งเสริมด้วยความภาคภูมิใจ

ผลรวมที่ออกมามันเลยกลายเป็นอะไรที่ "ลักลั่น" มาก ๆ อย่างอีกเรื่องที่นึกได้ (ที่เกี่ยวข้อง) คือเรื่องการ "แต่งเครื่องแบบ" (เรื่องนี้แม้แต่ใน มธ ก็เป็น)ความจริงในช่วงทศวรรษ 2510 นี่เป็นอะไรที่เสือมลงไปเยอะ ไม่มีใครจะซีเรียสอะไรมากมายแล้วหลังจากเติบโตทางสังคม วัฒนธรรมของชนชั้นกลาง ลูกหลานจีนที่ว่า เลยกลายเป็นอะไรที่ถูกนำมาโปรโมทกันพักใหญ่กลายเป็นว่า เป็น "ความภาคภูมิใจ" ที่มี "ประเพณี" มี "วัฒนธรรม"

 

อย่างที่บอกว่า แม้ใน มธ. ก็เป็น ซึง "ตลก" มาก ๆ เพราะช่วงก่อน ทศวรรษ 2520 นั้น เรื่องนี้กลายเป็นอะไรที่เสือมไปแล้ว แต่กลายเป็นว่า หลัง ทศวรรษที่ 2520-2530 บรรดาอาจารย์ ผู้บริหาร (ซึ่งก็คือพวกลูกหลานจีนที่ตอนนี้โตขึ้นมากลายเป็นระดับบริหารหรือ"ผู้ใหญ่") กลับเอามาโปรโมทกันใหญ่ แม้แต่การเรียกพี่ เรียกน้อง" ("ประเพณี"ประเภท "พี่รหัส-น้องรหัส" โต๊ะ" ฯลฯ พวกนี้เป็นอะไรที่ "เพิ่งสร้าง" ทั้งนั้น เป็นเรื่องของบรรดาคนที่ "ไม่มีราก" จริงๆ คือจะเป็นไทย ก็ไม่ใช่ ฝรั่งก็ไม่ใช่...คือผสมปนเปกันไป หัวมังกุท้ายมังกร อย่างที่เห็น (ประเภท "รสนิยม" หลายเรื่องเป็นแบบ "ฝรั่งจ๋า" แต่ขณะเดียวกัน ก็เน้นเรื่องพิธีประเภท "หมอบกราบ" อะไรที่เห็นทีแหละ)

 

แค่เรื่องมารยาท!!!...ทำไม"สมศักดิ์ เจียมฯ"ถึงกับต้องร่ายยาวประวัติศาสตร์ กับมารยาของเด็กแบบ"เนติวิทย์"

แค่เรื่องมารยาท!!!...ทำไม"สมศักดิ์ เจียมฯ"ถึงกับต้องร่ายยาวประวัติศาสตร์ กับมารยาของเด็กแบบ"เนติวิทย์"