- 16 ก.ค. 2559
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th
กรณี นาย เนติวิทย์ฯ แสดงอาการไม่ยอมรับ ในประเพณีอันดีงาม ของจุฬาฯ โดยแสดงออกด้วยการไม่ยอม ถวายบังคม ต่อหน้า พระบรมรูป ร.5 และ ร.6 ท่ามกลางนิสิตปีหนึ่งและ อาจารย์ ที่กำลังร่วมพิธี ถวายสัตย์ปฏิญาน ต่อหน้าพระบรมรูป แล้วเดินออกจากลานพิธีไปอย่างหน้าตาเฉย โดยให้เหตุผลผ่าน เฟซบุ๊คของตัวเองว่า" รัชกาลที่ห้าได้ทรงโปรดให้ยกเลิก ธรรมเนียมการหมอบกราบไปแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องมี พิธีการเยี่ยงนี้ อีกต่อไป" (อ่านข่าวเพิ่มเติม >>>http://headshot.tnews.co.th/contents/196418/เท่ห์ไปเลยครับเพ่ !!!..."เนติวิทย์" กับเพื่อน 2 คน ลุกออกจากพิธีถวายสัตย์นิสิตจุฬาฯ แถมโพสต์คลิปโชว์ แต่ดันลบไปแล้วพร้อมคำชี้แจงแบบนี้ (มีรายละเอียด))
ล่าสุดก็เป็นทางด้านของนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ซึ่งเป็นผู้ต้องหา ม.112 ก็ได้มีการโพสต์เฟสบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว โดยที่ได้ร่ายยาวถึง เรื่องประวัติศาสตร์ โดยระบุดังนี้
สิ่งที่เรียกว่า มรดกประวัติศาสตร์นี้ ความจริงเป็นเพียง"ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง" ครับคือการมาให้ความสำคัญอะไรกับพิธีกรรม อะไรแบบที่ว่าเป็นอะไรทีเพิ่งจะเกิดขึ้นประมาณ 2-3 ทศวรรษที่แล้วนี้เอง
เช่นเดียวกับอีกหลายอย่างในลักษณะเดียวกัน (ไม่เพียงในจุฬา แต่ในสังคมวงกว้างออกไป)พวก "พิธีกรรม" เหล่านี้ (หรือการแสดง "ความมีวัฒนธรรม" ทำนองนี้- "เคารพบนอบต่อ "จารีต"ต่างๆ) มันมาพร้อมกับการเติบโตของชนชั้นกลางในเมืองที่มี "ราก" ที่ความเป็นลูกหลานจีนเป็นหลัก ช่วงตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2520 - ทศวรรษ 2530 คนเหล่านี้เพราะความที่ไม่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง (จะเป็นจีนก็ไม่ได้ เพราะห่างกันเกินไป) ก็พยามยาม "แสวงหา" หรือ "สร้าง" เอกลักษณ์ที่คิดว่าเป็นแบบไทย ๆ คือแม้แต่กรณีแบบนี้ ที่รู้กันดีว่า ร.๕ เลิกไปแล้ว ก็กลายเป็นอะไรที่เอากลับมาส่งเสริมด้วยความภาคภูมิใจ
ผลรวมที่ออกมามันเลยกลายเป็นอะไรที่ "ลักลั่น" มาก ๆ อย่างอีกเรื่องที่นึกได้ (ที่เกี่ยวข้อง) คือเรื่องการ "แต่งเครื่องแบบ" (เรื่องนี้แม้แต่ใน มธ ก็เป็น)ความจริงในช่วงทศวรรษ 2510 นี่เป็นอะไรที่เสือมลงไปเยอะ ไม่มีใครจะซีเรียสอะไรมากมายแล้วหลังจากเติบโตทางสังคม วัฒนธรรมของชนชั้นกลาง ลูกหลานจีนที่ว่า เลยกลายเป็นอะไรที่ถูกนำมาโปรโมทกันพักใหญ่กลายเป็นว่า เป็น "ความภาคภูมิใจ" ที่มี "ประเพณี" มี "วัฒนธรรม"
อย่างที่บอกว่า แม้ใน มธ. ก็เป็น ซึง "ตลก" มาก ๆ เพราะช่วงก่อน ทศวรรษ 2520 นั้น เรื่องนี้กลายเป็นอะไรที่เสือมไปแล้ว แต่กลายเป็นว่า หลัง ทศวรรษที่ 2520-2530 บรรดาอาจารย์ ผู้บริหาร (ซึ่งก็คือพวกลูกหลานจีนที่ตอนนี้โตขึ้นมากลายเป็นระดับบริหารหรือ"ผู้ใหญ่") กลับเอามาโปรโมทกันใหญ่ แม้แต่การเรียกพี่ เรียกน้อง" ("ประเพณี"ประเภท "พี่รหัส-น้องรหัส" โต๊ะ" ฯลฯ พวกนี้เป็นอะไรที่ "เพิ่งสร้าง" ทั้งนั้น เป็นเรื่องของบรรดาคนที่ "ไม่มีราก" จริงๆ คือจะเป็นไทย ก็ไม่ใช่ ฝรั่งก็ไม่ใช่...คือผสมปนเปกันไป หัวมังกุท้ายมังกร อย่างที่เห็น (ประเภท "รสนิยม" หลายเรื่องเป็นแบบ "ฝรั่งจ๋า" แต่ขณะเดียวกัน ก็เน้นเรื่องพิธีประเภท "หมอบกราบ" อะไรที่เห็นทีแหละ)