เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ บอก ต้องปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง..."จตุพร" สวนทันควัน....วาทกรรมการปฏิรูป เป็นของ "สุเทพ" ...!?!

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม http://headshot.tnews.co.th

วันที่ 31 สิงหาคม นายจตุพร พรหมพันธ์ ประธานแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศจะปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ให้คนดีเข้าสู่การเมืองนั้น เป็นวาทกรรมของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ หรือกลุ่ม กปปส. จึงแสดงถึงความสัมพันธ์ทางอำนาจเป็นพวกเดียวกัน และถ้านักการเมืองบ้างจำพวกมาผสมกับนักรัฐประหาร ย่อมเป็นความน่ากลัวต่อการนำพาประเทศไปสู่วิกฤต หายนะ ขาดความเชื่อมั่น หรือไร้ความน่าเชื่อถือของต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ตลอดการบริหารประเทศมากว่า 2 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับทำการปฏิรูปประเทศสำเร็จแค่ 10% ทั้งที่เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ และไม่มีข้อจำกัดทางกฎหมาย เพราะมีคำสั่ง คสช. อีกทั้งยังออกคำสั่งตาม ม. 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จได้อีก แต่ต้องยอมรับความจริงว่า การปฏิรูปจะเกิดจากอำนาจสั่งบังคับไม่ได้ สิ่งสำคัญต้องขึ้นอยู่กับบรรยากาศความน่าเชื่อถือของคนในประเทศและสร้างความเชื่อมั่นต่อนานนาชาติด้วย

นายจตุพร กล่าวว่า ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาบริหารประเทศ ยังไม่ได้แสดงถึงการปฏิรูปให้เกิดเป็นจริง นอกจากใช้คำสั่ง ม. 44 มาโยกย้ายข้าราชการในกรณีที่เป็นโทษ เพื่อตัดการร้องขอความคุ้มครองจากศาลปกครอง ดังนั้น การปฏิรูปไม่ว่าด้านใด หรือการปฏิรูปการเมืองต้องได้รับการยอมรับจากประชาชน อีกทั้งขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ให้ความชัดเจน พูดแบ่งรับแบ่งสู้กับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนนอก แต่มีแนวโน้มได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนนอกมากกว่าคนอื่น โดยอาการแบบนี้ คงจะมานำทางไปสู่การปฏิรูปไม่ได้ เพราะการเป็นนักปฏิรูปแล้วต้องผ่านการตัดสินใจจากประชาชนเป็นเบื้องต้นเสียก่อน

“วาทกรรมการปฏิรูปนั้น เป็นของนายสุเทพ และ กปปส. เมื่อครั้งอ่านประกาศขณะปิดล้อมและยึดศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ วันนั้นเขาต้องการมีอำนาจเสียเอง เมื่อรัฐบาล คสช. มารับออกอาการจึงแสดงถึงสัมพันธ์เชิงอำนาจที่แนบแน่นกัน แต่เมื่อรัฐบาลนี้ ยังเหลือเวลาอีกปีครึ่ง จึงไม่ควรพูดถึงการปฏิรูปซึ่งเป็นเพียงมายาภาพอำนาจต้องการโค่นล้มนักการเมืองบางฝ่าย แล้วอีกฝ่ายสามารถปูทางไปสู่อำนาจหลังการเลือกตั้งได้สะดวก ง่ายดายยิ่งขึ้น”

นายจตุพร กล่าวว่า การประกาศกำจัดกลุ่มทุนการเมืองหนุนหลังพรรคการเมืองนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมรู้จักกลุ่มทุนใหญ่เหล่านั้นดีอยู่แล้ว ควรสอบถามการสนับสนุนทุนช่วงเลือกตั้งได้ แต่ความจริงแล้ว กลุ่มทุนใหญ่หลายคนล้วนสนิทแนบแน่นและร่วมมือกับนักรัฐประหารด้วยเช่นกัน เพราะการรัฐประหารต้องใช้ทุนดำเนินการกันทั้งสิ้น และตนเห็นด้วยกับการหาเสียงเลือกตั้งต้องใช้ทุนของตัวเอง

นายจตุพร กล่าวว่า คนดีทางการเมืองไม่มีมาตรฐานชัดเจน ต้องยอมรับให้ประชาชนตัดสินใจ หากปรากฏความไม่ดีออกมา ประชาชนจะตบหน้าสั่งสอนคนเหล่านั้นในคราวเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่โลกของคนดีทางการเมืองในขณะนี้กลับใช้การแบ่งฝ่ายว่า เป็นคนของใครจึงจะดี หรือเป็นคนของใครจึงจะชั่ว ดังนั้น การปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้งไม่มีวันเสร็จ เป็นไปไม่ได้ ในโลกความจริงไม่มี เมื่ออ้างมาทำการปฏิรูปให้เสร็จ หากไม่เสร็จก็ต้องทำให้ต่อ ดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทำเองให้เสร็จจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะการปฏิรูปไม่มีวันจบ โลกเปลี่ยนแปลงเสมอ เมื่อวาทกรรมการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งของนายสุเทพ มาเป็นคำพูดของ คสช. จึงแสดงถึงการเป็นกลุ่มอำนาจเดียวกัน

ส่วนการปรับปรุงกฎหมายระเบียบจัดซื้อจัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเอากฎหมายจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพมาใช้เพื่อป้องกันการทุจริตนั้น นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้กองทัพเป็นตัวอย่างไม่มีการทุจริตแล้วหรือ กรณีเรือเหาะ จีที 200 รถหุ้มเกราะ เครื่องบิน หรือซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ การจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ การผูกขาดขุดลอกคลองขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก สิ่งเหล่านี้รับประกันได้หรือไม่ว่า ไม่มีทุจริต แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อเท็จจริง คือ กองทัพเป็นแดนสนธยา ไม่สามารถตรวจสอบได้ ไม่ใช่ไร้การทุจริต

ดังนั้น ถ้านำระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพมาปรับปรุงระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กำลังทำให้หลายหน่วยงานตรวจสอบได้ยาก แต่ถ้ากองทัพเป็นแบบอย่างได้จริงแล้ว ควรต้องทำก่อนให้เกิดการโปร่งใสก่อน เริ่มทำให้กองทัพตรวจสอบได้จริงก่อน อย่าเป็นดินแดนสนธยา ห้ามการตรวจสอบได้เหมือนเดิมอีก

ส่วนการตั้งพรรคการเมืองเป็นเรื่องของ พล.อ.ประยุทธ์ ถึงที่สุดต้องระดมนักการเมืองมาร่วม และนักการเมืองบางจำพวก ซึ่งมีความเชื่อว่า อยู่กับกับนายกรัฐมนตรีคนไหนก็ได้โควตารัฐมนตรีเท่าเดิม แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ ไม่มีโจรไหนน่ากลัวเท่ากับโจรอยู่ภายใต้การคุ้มครองของทหารและตำรวจในขณะที่ไปปล้น แล้วภาระทั้งปวงจะอยู่กับนายกรัฐมนตรี แล้วเป็นทุกข์ลาภ

นายจตุพร กล่าวว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ ไม่ว่านายกรัฐมนตรีคนในพรรคการเมืองหรือคนนอก ย่อมเกิดความหายนะเหมือนกัน ล้วนนำพาประเทศเข้าสู่วิกฤตทั้งนั้น และสิ่งที่น่ากลัวคือ นักการเมืองทุจริตมาผสมกับนักรัฐประหาร บ้านเมืองคงไปไม่รอด สร้างหายนะให้ประเทศ

 

ขอบคุณ Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์