ขอความเป็นธรรม  !!! "เจ้าของอู่วิชาญ" พบ "อธิบดีกรมสรรพสามิตร" หลังถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังรถสมเด็จช่วง 6.8 ล้าน

ที่กรมสรรพสามิต นายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่ พร้อมทนาย เดินทางเข้ายื่นหนังสื่อคัดค้าน กรณีที่กรมสรรพสามิตรเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจำนวน 6,800,000 บาท จากกรณีที่อู่วิชาญ ซึ่งได้ซ่อมรถยนต์เมอร์ซิเดสเบนซ

ที่กรมสรรพสามิต นายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่ พร้อมทนาย เดินทางเข้ายื่นหนังสื่อคัดค้าน กรณีที่กรมสรรพสามิตรเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจำนวน 6,800,000 บาท จากกรณีที่อู่วิชาญ

 ซึ่งได้ซ่อมรถยนต์เมอร์ซิเดสเบนซ์ ทะเบียน ขม 99 กทม. ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง วรปุญโญ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ  โดยมีนายวันชัย ตั้งวิจิตร ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายกรมสรรพสามิต เป็นผู้รับมอบหนังสือดังกล่าว

 

ทั้งนี้นายวิชาญเปิดเผยว่า "การเข้ายื่นหนังสือในวันนี้ อยากให้กรมสรรพสามิต ตรวจสอบการเรียกเก็บภาษีย้อนหลังของอู่วิชาญ เนื่องจากอู่วิชาญเป็นเพียงอู่ซ่อมรถโบราณเท่านั้น ไม่ใช่อู่ประกอบรถแต่อย่างใด 

 

และการประกอบอาชีพอู่ซ่อมรถ ก็ไม่ได้มีเงินจำนวนมากขนาดนั้น ขณะเดียวกันตนเองก็ไม่เข้าใจกฎหมาย

ซึ่งตลอดการซ่อมรถคันดังกล่าวไม่มีเอกสารใดๆมาประกอบ แต่ยอมรับทราบว่ารถคันดังกล่าวเป็นของสมเด็จช่วงฯ และหวังให้กรมสรรพสามิตช่วยเหลือและดำเนินการในเรื่องนี้"

ด้านนายเริงยศ ทรัพย์เงินทอง ทนายความกล่าวว่า มายื่นหนังสือตามกรอบระยะเวลา 45 วัน หลังจากมีคำสั่งให้จ่ายเงิน ยืนยันจะทำตามขั้นของกรมสรรพสามิต

 

อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ นายวิชาญจะเดินทางไปกรมสรรพากร ตามหมายเรียกให้ข้อมูลเพิ่มเติมในคดีดังกล่าว โดยหากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งได้เรียกสอบนายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่รถโบราณ ที่ทำรถเบนซ์ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ

 

เข้าพบพนักงานสอบสวนและให้การในฐานะพยาน โดยพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ สอบปากคำนายวิชาญด้วยตนเอง และคณะพนักงานสอบสวนซึ่งใช้เวลาสอบปากคำนานกว่า 3 ชั่วโมง

 

ด้านนายวิชาญ กล่าวว่า "รับงานซ่อมรถเบนซ์ ของวัดปากน้ำ โดยมีหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เป็นผู้ว่าจ้าง นำรถและจัดหาอะไหล่ทุกชิ้นมาให้อู่ซ่อมตั้งแต่ ปี 2553 ซ่อมและทำสีเสร็จสมบูรณ์ ตั้งแต่ปี 2554

และส่งรถเข้าจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ของวัดปากน้ำตั้งแต่นั้น โดยมีค่าจ้างบูรณะรถ ประมาณกว่า 1 ล้านบาท โดยรถคันนี้ไม่ใช่รถหรู หรือรถบุโรทั่ง แต่เป็นรถคลาสสิกที่คุณค่าอยู่ที่ใจของผู้สะสม หากประเมินราคารถเบนซ์โบราณนี้ อยู่ที่ 3-6 ล้านบาท

 สำหรับรายละเอียดในการซ่อมรถคันนี้ พบว่ามีเครื่องยนต์บอดี้เดียวกันแต่ไม่ทราบว่าผลิตเป็นชุดเดียวกันตั้งแต่ต้นหรือไม่และไม่ทราบเรื่องการนำไปจดทะเบียน

 

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ที่มีรายชื่อสถานที่จดประกอบเป็นอู่อีกแห่งนั้น เข้าใจว่าเป็นเทคนิคในการทำเอกสาร เพื่อยื่นจดทะเบียน ตนรู้ว่าทำได้แต่ไม่ทำและยืนยันว่ารถคันนี้ ตอนมาซ่อม ไม่ใช่รถติดแก๊ส โดยรถคลาสิก ซึ่งผู้ใช้มีฐานะ ไม่มีใครนำไปติดแก๊ส เข้าใจว่า การแจ้งว่าเป็นรถติดแก๊ส เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการจดทะเบียนเท่านั้น

 

นอกจากนี้นายวิชาญยังกล่าวอีกว่า ส่วนที่มีข่าวว่ารถเบนซ์ของสมเด็จช่วงเคยประสบอุบัติเหตุ ตนทราบข่าว แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นรถคันเดียวกันหรือไม่ตอนที่ได้รับว่าจ้างทำรถคันนี้ ก็รู้สึกดีใจที่ได้ทำรถถวายสมเด็จฯ แต่พอเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาก็คิดว่าเป็นวิบากกรรมร่วมกัน ถ้ากรณีนี้เป็นรถของบุคคลธรรมดา

 

ก็คงแค่ปรับหรือยึดรถ แต่พอเป็นรถของบิ๊กเนม ก็ถูกนำไปขยายผล ซึ่งตนก็กลัวตกเป็นจำเลยสังคม ทั้งที่เป็นอู่ทำรถโบราณเมื่อว่าจ้างซ่อมก็รับจ้างไม่ได้ทำอะไรผิดและพร้อมเข้าความร่วมมือกับดีเอสไอในการให้ข้อมูล"

 

อย่างไรด้านอธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่านายวิชาญยืนยันเป็นช่างที่ซ่อมรถเบนซ์ดัง กล่าว ซึ่งดีเอสไอจะนำข้อมูลคำให้การ เปรียบเทียบกับข้อมูลในส่วนอื่นๆ"