เจาะลึกทุกแง่มุม เมื่อศาลชี้ "ทักษิณ"เข้าข่ายผิดม.112...กลับไปย้อนดูข้อกล่าวหา "ทักษิณ" อยากเป็นประธานาธิบดี (ชมคลิป)

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม http://headshot.tnews.co.th

จากกรณีที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (ผู้ฟ้องคดี) ฟ้องอธิบดีกรมการกงสุล ที่ 1 ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ที่ 2 (ผู้ถูกฟ้องคดี) ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองที่ยกเลิกหนังสือเดินทางรวมสองฉบับ คือ หนังสือเดินทางเลขที่ U 957411 และเลขที่ Z 530117

 

สาระสำคัญของคำพิพากษาที่ในวันนี้รายการเจาะข่าวร้อน ล้วงข่าวลึกจะนำเสนอให้ได้รับทราบก็คือ พฤติกรรมของนายทักษิณ อันเป็นเหตุทำให้เขาต้องถูกเพิกถอนพาสปอร์ตนั้น ถือว่ามีความร้ายแรงและเป็นภัยต่อความมั่นคง และสถาบันเบื้องสูงของประเทศ

จากคำพิเคราะห์คดีของศาล ได้ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของนายทักษิณ ที่ได้ไปสัมภาษณ์ สำนักข่าวซูซัน ของ ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 21พฤษภาคม 2558 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับ เกี่ยวกับเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และเหตุการณ์ทางการเมืองอื่น ถูกนำมาเผยแพร่ในเว็บไซต์ยูทูบคลิปวิดีโอชื่อ คลิปทักษิณให้สัมภาษณ์ทิ้งบอมบ์เบื้องหลังยึดอำนาจ อัดสุเทพ บิ๊กทหาร องคมนตรี"

 

ศาลเห็นว่า ถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของผู้ฟ้องคดีมีเนื้อหาบางส่วนพาดพิงบุคคลตามมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัย หรือชื่อเสียงเกียรติภูมิของประเทศไทยได้ การให้สัมภาษณ์ของผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ย่อมเป็นที่สนใจของบุคคลทั่วไป และคาดหมายได้ว่าจะถูกนำไปเผยแพร่หรือส่งต่อเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์แพร่หลายไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย

 

กรณีจึงเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาตรา 326 มาตรา 328 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (3) และ (5) เป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อย แม้จะยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ตาม

 

พูดถึงการให้สัมภาษณ์ของนายทักษิณในช่วงนั้น ได้ถูกกองทัพและ พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ฟ้องร้องดำเนินคดีมาตรา 112 และหมิ่นประมาท

 

และจากการที่ศาลปกครองกลางได้มีคำพิเคราะห์คดีออกมา ทางสำนักข่าวทีนิวส์จึงจะไม่ขยายผลคำให้สัมภาษณ์เพิ่มเติม เนื่องจากเป็นเนื้อหาที่พาดพิงบุคคลที่สามโดยเฉพาะสถาบันเบื้องสูงอีกด้วย

อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทักษิณมักจะพาดพิงสถาบัน กับสถานการณ์ทางการเมือง ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความมุ่งหวังที่แท้จริงของนายทักษิณที่มีต่อสถาบันคืออะไรกันแน่

 

จนครั้งหนึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เคยออกมาระบุทำนองว่า นายทักษิณนั้นต้องการที่จะเป็นประธานาธิบดีเลยทีเดียว

ซึ่งต่อมานายทักษิณได้ทำการฟ้องร้องหมิ่นประมาทนายสุเทพ แต่เมื่อสู้มาจนถึงศาลฎีกาได้ยืนยกฟ้องเพราะมองว่าคำพูดของนายสุเทพเป็นการติชมโดยสุจริต

8 ต.ค.2558 ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.425/2552 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ยศในขณะนั้น) มอบอำนาจให้ นายอุดม โปร่งฟ้า ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อนายสุเทพ เทือกสุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง (ในขณะนั้น) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 กรณีนายสุเทพได้อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรและให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทำนองว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอิน มาหากลุ่มคนเสื้อแดงนั้น เพราะต้องการกลับมาเป็นประธานาธิบดี

คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลย เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 ไม่ได้มุ่งใส่ความพ.ต.ท.ทักษิณให้ได้รับความเสียหาย จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท คดีจึงไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง

ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้ประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยชี้ว่าคดีไม่มีมูลนั้น ศาลอุทธรณ์ เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน ยกฟ้องคดีพ.ต.ท.ทักษิณฟ้องนายสุเทพ

พี่ฟาง ทั้งนี้ศาลอาญาพิจารณาการกระทำของจำเลยคือนายสุเทพแล้ว เห็นว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์นั้นชอบแล้ว จึงเห็นพ้องพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทรณ์ยกฟ้องคดีพ.ต.ท.ทักษิณฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ

น่าสนใจว่าการที่ศาลระบุว่านายสุเทพติชมว่านายทักษิณอยากเป็นประธานาธิบดีนั้น เกิดมาจากเจตนาโดยสุจริต ด้านหนึ่งเป็นเหตุเพราะนายทักษิณนั้นมีพฤติกรรมหมิ่นเหม่ และมักจะพูดจาพาดพิงสถาบันเบื้องสูงอยู่เสมอหรือไม่