- 04 พ.ย. 2559
สิบคนอื่นว่า...หรือจะเท่าหนึ่งชาวนาพูด!!! ความรู้สึกของ "ชาวนาไทย" รอยยิ้มและคราบน้ำตากับสัจธรรมที่ต้องเผชิญ
พลาดไม่ได้สำหรับสถานการณ์ของประเทศไทยในตอนนี้ กับปัญหาเรื่องของราคาข้าว ที่ทำเอาชาวนาถึงกับต้องออกมาขายข้าวกันเอง นับว่าเป็นวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่ต้องรอดูว่ารัฐนั้นจะมีวิธีแก้วิกฤติในครั้งนี้อย่างไรกันต่อไป ในวันนี้จึงขอนำเสนอบทความหนึ่งที่น่าสนใจ จาก มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เขียนโดย ดร.ทิพวัลย์ สีจันทร์ อาจารย์ภาควิชาส่งเสริมและนิเทศศาสตร์เกษตร คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เรื่อง "บทสะท้อนความคิด เรื่องชีวิตชาวนาไทย"
อาจารย์ทิพวัลย์ ได้เกริ่นนำไว้ว่า "เกษตรกรแข็งขัน เป็นกระดูกสันหลังของชาติ ไทยจะเรืองอำนาจ เพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม" โดยระบุว่า จำไม่ได้ว่าบทเพลงนี้ใครแต่งและแต่งเมื่อไหร่ โดยประโยคดังกล่าวนั้น ดูจะสร้างความภาคภูมิใจต่ออาชีพเกษตรกร อาจารย์ได้เล่าต่อว่า ภาพของชาวนาเริ่มแจ่มชัดขึ้นเมื่อได้มาเรียนในสาขาเกษตร และได้ฝึกงานกับแปลงนา ทำให้รู้ว่า เหนื่อยและร้อน รวมถึงต้องใช้ความอดทนเพียงใด อย่างไรก็ตาม ความรู้และประสบการณ์ในมหาวิทยาลัยนั้น มีระบบการเรียนการสอนที่เน้นทฤษฎีภายใต้แนวคิดการพัฒนา "เลียนแบบ" ประเทศทางตะวันตก ที่ให้ความสำคัญต่อการเพิ่มผลผลิตและการใช้แทคโนโลยีสมัยใหม่ได้สร้างมายาคติให้คนทั่วไปเข้าใจว่าชาวนาไทยเป็นกลุ่มที่ "ด้อยพัฒนา" วนเวียนอยู่ในวัฏฏะของควาาม "จน เจ็บ โง่" และดูเหมือนจะเป็น "ภาระให้แก่สังคม" มากกว่าเป็น "ความภาคภูมิใจ" เช่นที่ได้รับรู้มาจากในอดีต
อาจารย์ทิพวัลย์ ได้ไปแสวงหา "ความจริง" นอกตำรา ที่ไม่มีอยู่ในรั้วสถาบัน กับชีวิตของชาวนาภาคเหนือ ภายใต้ระบบเหมืองฝายที่ไม่เหมือนกับชาวนาภาคกลางภายใต้ระบบชลประทานของรัฐ เรียกว่าแต่งต่างอย่างสิ้นเชิง กับชีวิตชาวนาในเขตน้ำฝนภาคอีสาน บริบทชุมชน ภายใต้ภูมินิเวศน์ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมเป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจ "ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น" ชาวนาไม่ได้เป็นเพียง "หนึ่งในปัจจัยแห่งการผลิต" และข้าวไม่ได้เป็นเพียง "สินค้า" เหมือนดั่งที่เคยรับรู้ในวิชาเศรษฐศาสตร์
โดยเรื่องที่นำเสนอจากปากชาวนาผู้หนึ่งที่ถูกเล่าผ่านบทความ "บทสะท้อนความคิด เรื่องชีวิตชาวนาไทย" มีอยู่ว่า
ข้อมูลจาก มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
เรียบเรียง ภัทราพร วโรภาสพิมาน สำนักข่าวทีนิวส์