ทางรอดชาวนา!!!หมอวรงค์ชี้ถึงเวลาต้องปลุกวิถีเก่าเป็นเครื่องมือต่อรอง"อย่าให้ชาวนาเป็นเจ้าของข้าวแค่วันเดียว"

ทางรอดชาวนา!!!หมอวรงค์ชี้ถึงเวลาต้องปลุกวิถีเก่าเป็นเครื่องมือต่อรอง"อย่าให้ชาวนาเป็นเจ้าของข้าวแค่วันเดียว"

10 พ.ย.59 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.ประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว  "Warong Dechgitvigrom" เสนอวิธีช่วยเหลือชาวนาต่อกรณีราคาข้าวเปลือกตกต่ำ เนื่องจากชาวนาไม่มียุ้งฉางเก็บข้าวเปลือก ทำให้ต้องรีบขายข้าว ดังนั้นรัฐบาลจึงควรเร่งในการสนับสนุนให้ชาวนาหันกลับมาสร้างยุ้งฉางดังเช่นสมัยก่อน  โดยข้อความระบุว่า ....

ชาวนาจะรอดได้ต้องนำยุ้งฉางกลับมา

การที่จะทำให้ชาวนารวยขึ้นมาได้ภายใน 5 ปีที่นายกพลเอกประยุทธ์เสนอ มีความเป็นไปได้ แต่สิ่งที่จะทำให้ชาวนาตั้งตัวอย่างยั่งยืน หัวใจสำคัญอันหนึ่งคือ เราต้องไม่ให้ชาวนาเป็นเจ้าของข้าวแค่วันเดียว นั่นคือแทนที่จะเกี่ยวเสร็จแล้วส่งโรงสี เราต้องนำวิถีการตากข้าวแล้วเก็บยุ้งฉางกลับมา
ปัญหาสำคัญคือชาวนาต้องการเงินสดเพื่อไปใช้หนี้ หลังจากเก็บเกี่ยวจึงต้องนำข้าวไปขายทันที การที่เก็บเกี่ยวพร้อมๆกันจึงทำให้มีปัญหาด้านราคา รัฐบาลจึงควรมีข้อเสนอด้านการให้สินเชื่อยุ้งฉาง และควรเป็นยุ้งฉางของชาวนา ของกลุ่มหรือของหมู่บ้าน โดยรัฐบาลดึงดูดด้วยการ จ่ายสินเชื่อให้ชาวนา80-90% ของราคาที่ควรจะเป็น ร่วมกับเงินค่าเก็บเกี่ยว และค่ายุ้งฉาง ตามที่รัฐบาลกำหนด จะทำให้ชาวนาเมื่อเกี่ยวข้าวแล้วนำข้าวเข้ามาเก็บไว้ในยุ้งฉาง และจะได้เงินไปใช้จ่ายหนี้สินก่อน
เมื่อชาวนาได้เงินไปใช้จ่ายก่อน ก็ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทอง การเก็บข้าวเปลือกเข้ายุ้งฉางจะทำให้ชาวนามีส่วนในการกำหนดว่าจะนำข้าวไปขายเมื่อไร ในราคาที่พอใจ ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายให้ช่วยซื้อข้าวสารจากกลุ่มชาวนาหรือสหกรณ์ ชาวนาก็จะมีทางเลือกว่าจะขายข้าวเปลือกหรือเอาข้าวไปสี และคงมีโอกาสได้เห็นโรงสีมาขอซื้อข้าวจากชาวนาในราคาที่เป็นธรรม
ถึงเวลาที่ต้องปลุกเอายุ้งฉางกลับมาใช้ เพื่อให้ชาวนาเป็นผู้กำหนดเวลา และราคาในการขายข้าวเปลือก และสามารถเลือกได้ว่าจะขายข้าวเปลือกบางส่วน และบางส่วนนำไปสีเพื่อขายข้าวสาร ยุ้งฉางจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารปริมาณและราคาข้าวเปลือก ที่รัฐบาลควรจะผลักดันให้เกิดขึ้นจริง

ทางรอดชาวนา!!!หมอวรงค์ชี้ถึงเวลาต้องปลุกวิถีเก่าเป็นเครื่องมือต่อรอง"อย่าให้ชาวนาเป็นเจ้าของข้าวแค่วันเดียว"

 

รายงานโดย    นาตยา เอนกธนะเศรษฐ์   สำนักข่าวทีนิวส์

ที่มา            เฟซบุ๊ก  "Warong Dechgitvigrom"