ตอกย้ำความจริง!!! ขบวนการวินาศกรรมประเทศ  ปี 53 ...เปิดข้อมูลชัดๆเกิดอะไรขึ้น จนนำมาสู่การจับกุม "ครูแขก"(

วันนี้ 17 พฤศจิกายน 2559 ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง คดีที่อัยการยื่นฟ้องนางสาวอัมพร ใจก้อน หรือครูแขก แนวร่วม นปช. ฐาน ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ กรณีเมื่อระหว่างต้นปี 2553 –

วันนี้ 17 พฤศจิกายน 2559 ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง คดีที่อัยการยื่นฟ้องนางสาวอัมพร ใจก้อน หรือครูแขก แนวร่วม นปช. ฐาน ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้

กรณีเมื่อระหว่างต้นปี 2553 – 5 ตุลาคม 2553 นางสาวอัมพร กับพวกร่วมกันมีวัตถุระเบิดแสวงเครื่อง 5 ลูก ผงยูเรียหนัก 20 กิโลกรัม บรรจุในถังดับเพลิง และถังน้ำยาแอร์ ปืนกลเล็ก เอเค 47 ไม่มีหมายเลขทะเบียน และ กระสุน 129 นัด ที่อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี

ซึ่งคดีนี้นางอัมพร ถูกตำรวจจับกุมหลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดที่ สมานเมตตา แมนชั่น อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เมื่อปี 2553

ขณะที่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานโจทก์ส่วนใหญ่ซึ่งเป็นตำรวจที่เบิกความ ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุและไม่ได้เห็นเหตุการณ์ และไม่มีใครเห็นว่านางอัมพร จำเลยอยู่ที่สมานเมตตาแมนชั่นช่วงเกิดเหตุ จึงพิพากษายกฟ้อง พร้อมออกหมายปล่อยตัวนางอัมพร

ด้านนางสาวเบญจรัตน์ มีเทียน ทนายความนางอัมพร เปิดเผยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าพบเห็นนางอัมพร เช่าอาศัยที่สมานเมตตาแมนชั่น แต่เมื่อตรวจสอบไม่พบทรัพย์สินใดๆของนางอัมพร พยานหลักฐานจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ประกอบกับจำเลยให้การปฏิเสธ

 

ตอกย้ำความจริง!!! ขบวนการวินาศกรรมประเทศ  ปี 53 ...เปิดข้อมูลชัดๆเกิดอะไรขึ้น จนนำมาสู่การจับกุม "ครูแขก"(

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ จากกรณีที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุม ครูแขก หรือน.ส.อัมพร ใจก้อน ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดมีนบุรี ที่ 948/2557 ลงวันที่ 15 ต.ค. 2557 ข่าวนี้ถือว่าเป็นข่าวใหญ่และเป็นกุญแจดอกสำคัญ ที่อาจจะนำไปสู่การค้นหาคำตอบของขบวนการวินาศกรรมป่วนประเทศอยู่ ณ ขณะนี้

เมื่อตรวจสอบประวัติของผู้ต้องหาแล้วพบว่าอาจจะเชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์ระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่นเมื่อปี 2553 หรือแม้กระทั่งการก่อวินาศกรรมสี่แยกราชประสงค์ด้วยหรือไม่

เวลา 22.55 น. ของวันที่ 31 ส.ค. ตำรวจ และทหาร ได้ร่วมกันควบคุมตัว นางอัมพร ใจก้อนหรือ ครูแขก อายุ 56 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดมีนบุรี ที่ 948/2557 ลงวันที่ 15 ต.ค. 2557  ในข้อหา ร่วมกันทำประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนลักษณะซื้อ มีใช้สิ่ง หรือนำเข้าวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ,ร่วมกันทำให้เกิดระเบิด เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย โดยจับกุมได้ที่บ้านพักตามบัตรประชาชน ใน จ.เชียงใหม่

  ตอกย้ำความจริง!!! ขบวนการวินาศกรรมประเทศ  ปี 53 ...เปิดข้อมูลชัดๆเกิดอะไรขึ้น จนนำมาสู่การจับกุม "ครูแขก"(

การจับกุมดังกล่าว สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 29 มี.ค.2557 ได้เกิดเหตุระเบิดที่บริเวณบ้านไม่มีเลขที่ ภายใน ซ.ราษฎร์อุทิศ 25 แขวงและเขตมีนบุรี กทม. พื้นที่ของ สน.มีนบุรี จนมีผู้ถึงแก่ความตาย ทางเจ้าหน้าที่พบว่า ผู้ต้องหาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว พนักงานสอบสวนจึงได้ออกหมายจับผู้ต้องหา ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน ภาค 5 และเจ้าหน้าที่ทหารสืบทราบว่า ผู้ต้องหาได้หลบมาพักอาศัยที่บ้านพักดังกล่าว จึงได้สนธิกำลังเข้าจับกุมได้เวลาประมาณ 15.00 น. ของวันที่ 31 ส.ค.

 

ทั้งนี้ตำรวจได้นำตัว นางอัมพร มาฝากขังที่ศาลมีนบุรี ผลัดแรก เป็นเวลา 12 วัน น.ส.เบญจรัตน์ มีเทียน ทนายความของผู้ต้องหา เปิดเผยว่าหลังจากเกิดเหตุรถจักรยานยนต์ระเบิดที่ ซ.ราษฎร์อุทิศ 25 ย่านมีนบุรี เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 57 เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้นำตัว นางอัมพร มาสอบสวนเพิ่มเติม พร้อมทั้งนำพยานมาชี้ตัวแล้วปรากฏว่าไม่ใช่ นอกจากนี้ ก็ได้หาพยานหลักฐานอื่นเพิ่มเติม ประกอบกับการนำลายนิ้วมือไปตรวจเทียบ ก็ไม่พบหลักฐานการกระทำผิด จากนั้นก็ได้ปล่อยตัว

 

โดยเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2557 ตำรวจได้จับกุม นางอัมพร ผู้ต้องหาในคดีระเบิดสมานเมตตาแมนชั่น ย่านบางบัวทอง ปี 2553 ได้ที่เชียงใหม่ จากนั้น 28 เม.ย.เจ้าหน้าที่ได้สอบสวนเกี่ยวกับคดีสมานเมตตาแมนชั่น ก่อนที่จะส่งตัวให้กับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ซึ่งในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.มีนบุรี ได้จับกุมตามหมายจับของดีเอสไอ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ทำไมหลังจากที่มีการส่งตัวไปให้ดีเอสไอแล้ว เมื่อมีหมายจับ ทำไมไม่ไปอายัดตัวตั้งแต่ตอนนั้น จนเวลาผ่านไปซึ่งนางอัมพรไม่ทราบมาก่อนว่ามีหมายจับ และไม่เคยได้รับหมายเรียกเลย และนางอัมพร ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังมีเบอร์โทรศัพท์ และที่อยู่ที่สามารถติดต่อกับนางอัมพรได้ และเจ้าหน้าที่ได้เคยสอบสวนนางอัมพรไปแล้ว ซึ่งทราบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ทำไมจึงถูกควบคุมตัวอีก

 

นางอัมพร ยังคงยืนยันในความบริสุทธิ์ของตนว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดแต่ออย่างใดและขอปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา อีกทั้งกล่าวด้วยว่าไม่เคยรู้จักกับผู้ต้องหาที่ก่อเหตุวางระเบิด พร้อมทั้งจะให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกประการพล.ต.ต.ชัยพร พานิชอัตรา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 3 เปิดเผยว่าการจับกุมนางอัมพร ในครั้งนี้มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์บางประการที่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยจะทำการตรวจสอบถามพิสูจน์พยานหลักฐานต่างๆต่อไป

นอกจากนี้ทางผู้บังคับการตำรวจนครบาล 3 ยังเปิดถึงผู้ต้องหาคดีนี้มีทั้งสิ้น 8 คน โดยเสียชีวิต ไปก่อนหน้านี้ 2 คน และสามารถจับกุมตัวได้ 2 คน และอีก 4 คน อยู่ระหว่างการหลบหนี ซึ่งจะได้มีการสืบสวนติดตามตัวมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุดก่อนอื่นทางรายการเจาะข่าวร้อน ล้วงข่าวลึก ต้องขอเรียนให้คุณผู้ชมเข้าใจก่อนว่า คดีระเบิดในครั้งนี้มีรายละเอียดอันสลับซับซ้อน และมีส่วนเชื่อมโยงมากมาย เพราะฉะนั้นเราจึงขอลำดับความเข้าใจแบบนี้

 

1.เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในช่วงการชุมนุม กปปส.ที่พบว่ามีการใช้อาวุธสงคราม และระเบิดโจมตีผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง

2.ระเบิดที่ว่านั้น เป็นระเบิดแสวงเครื่องแบบไปป์บอมที่นำไปประกอบกับรถจักรยานยนต์ เพื่อใช้เป็นจักรยานยนต์บอม

3.สถานที่เกิดเหตุเป็นลานโล่ง ของบ้านเช่าที่กลุ่มคนร้ายมาพัก โดยคนร้ายเสียชีวิตคาที เพราะระเบิดทำงานผิดพลาด ขณะทำการประกอบดัดแปลงระเบิดกับตัวรถ

4.ผู้เสียชีวิต 2 คน คือนายเกรียงไกร สินอำนวย และ นายบุญเลื่อน ปิ่นตา  สภาพศพถูกแรงระเบิดจนร่างฉีกขาด

5.ที่บ้านเช่าของผู้เสียชีวิต ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร มีระเบิดไปป์บอมบ์ซุกซ่อนอยู่อีก 5 ลูก ถังแก๊สปิกนิค 6 ถัง แกลลอนน้ำมัน 1 ใบ และจักรยานยนต์จำนวน 2 คัน

6.ชนิดของอุปกรณ์และระเบิดที่พบเป็นแบบเดียวกับที่กลุ่มคนร้าย ใช้โจมตีผู้ชุมนุม กปปส.

เห็นหรือยังคะคุณผู้ชมว่า เมื่อเราลงรายละเอียดของเหตุการณ์ในวันนั้น ก็จะพบว่าผู้ก่อเหตุนั้น ทำกันเป็นขบวนการ และมุ่งหวังที่จะสร้างสถานการณ์และโจมตีกลุ่ม กปปส.ในตอนนั้น

เพราะฉะนั้นน้ำหนักของการก่อเหตุจึงน่าจะเป็นประเด็นทางการเมือง เพราะในช่วงเดียวกันนั้น หรือจริงๆถัดจากนั้นอีกวันเดียว คนร้ายกลุ่มนี้ก็นำเอาระเบิดไปวางเอาไว้ อีกซอยถัดไป แต่โชคดีที่หน่วยอีโอดีเก็บกู้ได้ทันเวลา

 

วันที่30 มีนาคม พลตำรวจเอก เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์ระเบิด เข้าตรวจสอบบริเวณพงหญ้าใกล้กับซอยราษฎร์อุทิศ 12 เขตมีนบุรี พร้อมกับใช้หุ่นยนต์เก็บกู้ยิงทำลายวงจรระเบิด 2 ลูก หลังได้รับแจ้งว่าพบถุงพลาสติกต้องสงสัย มีสายไฟและท่อเหล็กโผล่ออกมา และใกล้กันยังพบรถจักรยานยนต์ฮอนด้า คลิ๊ก ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนสภาพเก่า ที่มีผู้นำมาจอดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน

 

จากการตรวจสอบพบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องไปป์บอมบ์ ที่ใช้ดินดำบรรจุในท่อเหล็กเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 นิ้ว จุดชนวนด้วยแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ แบบหน่วงเวลา โดยระเบิดลูกที่พบในพงหญ้าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานและปิดสวิตซ์ไว้ แต่ลูกที่พบในช่องเก็บของใต้เบาะรถจักรยานยนต์ คนร้ายได้เปิดสวิตซ์ไว้พร้อมทำงาน และมีรัศมีทำลายล้างถึง 50 เมตร โดยระเบิดทั้ง 2 ลูก นับเป็นลูกที่ 8 และ 9 และเป็นชนิดเดียวกับที่เกิดเหตุระเบิดบริเวณปากซอยราษฎร์อุทิศ 27 ที่มีผู้เสียชีวิต 2 ศพ

 

ยิ่งไปกว่านั้นจากการตรวจสอบความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ต้องหาและกลุ่มผู้ตายได้มาเช่าบ้านใกล้ที่เกิดเหตุตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม โดยผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คน ได้นำระเบิดใส่จักรยานยนต์ ขับออกไปโดยไม่ทราบจุดหมาย แต่ระหว่างขับออกจากบ้านสภาพผิวถนนขรุขระ จึงเกิดการเสียดสีทำให้เกิดระเบิดขึ้น หลังเกิดเหตุคนที่อยู่ในบ้านประมาณ 10 คนได้ขึ้นรถตู้หนีออกไป

จากรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งมวล ตอกย้ำให้เห็นว่าคนร้ายได้วางแผนเตรียมการเพื่อก่อวินาศกรรม ในช่วงการชุมนุมของกปปส.เพื่อปั่นป่วนสถานการณ์ โดยจากคำพูดของรองผบ.ตร.ก็ชัดเจนว่าตรวจพบระเบิดมากถึง 9 ลูก แต่ร.ต.อ.เฉลิมกลับสันนิฐานว่าระเบิดที่เกิดขึ้นและตรวจพบเป็นของพวกคึกคะนองร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. กล่าวถึงเหตุระเบิดย่านเขตมีนบุรี ว่า เป็นฝีมือของคนที่มีความคึกคะนองพกระเบิดมา 2 ลูกแล้วเกิดทำงานขึ้นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ชีวิต ซึ่งไม่ควรเป็นเยี่ยงอย่างแก่พี่น้องประชาชนคนทั่วไป โดยเรื่องนี้ทาง ศอ.รส.ไม่สามารถที่จะห้ามปรามได้ ใครกระทำผิดก็ต้องจับกุม ไม่มีละเว้น แต่คดีดังกล่าวผู้ครอบครองระเบิดเสียชีวิตจึงไม่ต้องติดตามจับกุมใคร

 

จากการตรวจสอบประวัติของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าไปเช่าบ้านพักย่านมีนบุรี เป็นสถานที่ประกอบวัตถุระเบิด พบว่า มีความเชื่อมโยงกับกรณีตำรวจ สน.บางเขน

จับกุมผู้ต้องหา 2 คน ได้ที่หน้าวัดราษฎร์นิยมธรรม หรือวัดหนองผักชี ซอยพหลโยธิน 52 เมื่อปลายเดือนมกราคม2557 หรือก่อนหน้านั้นราว 3 เดือนซึ่งครั้งนั้นผู้ต้องหาทั้งสองกำลังขนระเบิดไปป์บอมจำนวน 23 ลูก พร้อมอาวุธปืนและมีด ไปส่งให้เครือข่ายที่ย่านสะพานใหม่

และเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ต้องหาที่ตำรวจสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ (191) จับกุมได้พร้อมระเบิด อาร์จีดี-5 ที่บริเวณหน้ากรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่เกิดเหตุการณ์คนร้ายปาระเบิดใส่บ้านพักของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

 

อีกทั้ง ข้อมูลการสืบสวนของตำรวจพบว่า มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่ระเบิดที่พบที่พบในบ้านของผู้เสียชีวิตน่าจะมีความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดก่อนหน้านี้ในหลายจุด โดยเฉพาะกรณีคนร้ายปาระเบิดไปป์บอมเข้าใส่บ้านพักของนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ หนึ่งในแกนนำ กปปส. เนื่องจากอุปกรณ์และวิธีการประกอบระเบิดที่พบในจุดเกิดเหตุมีลักษณะคล้ายกับวัตถุระเบิดที่พบในบ้านพักย่านมีนบุรีและจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ก็มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาว่าผู้ก่อเหตุนั้นอาจมีความเชื่อมโยงกับอีกหลายเหตุการณ์ก่อนหน้าแหล่งข่าวจากชุดสืบสวนเปิดเผยว่า คดีระเบิดที่มีนบุรี มีความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น ย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี เมื่อเดือนตุลาคมปี 2553 โดยพบว่าคนที่เช่าบ้านที่มีนบุรี ซึ่งมีการใช้บัตรอาสาตำรวจบ้าน จ.ราชบุรี อ้างชื่อว่าเป็นนายอ่าว อิสระส์ แต่จากการตรวจสอบพบว่าเป็นการใช้ชื่อปลอม โดยเมื่อตรวจสอบเชิงลึก พบว่าภาพถ่ายในบัตรดังกล่าว เมื่อนำไปเปรียบเทียบคดีค้างเก่า เป็นภาพของนายกษิ ดิฐธนรัชต์ ชาว จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น โดยเป็นเจ้าของนักธุรกิจค้าปุ๋ยยูเรียส่งออกแถบตะวันออกกลาง ซึ่งสืบทราบว่าก่อนหน้านี้หลบหนีอยู่ที่ต่างประเทศ และมีการเคลื่อนไหวตามชายแดนอยู่หลายปี สำหรับคดีระเบิดสมานเมตตาแมนชั่น ย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี เป็นเหตุ ให้มีผู้เสียชีวิต 4 ศพ และบาดเจ็บจำนวนมากเมื่อปี 2553 นั้น ห้องต้นเหตุเป็นของ นายสมัย วงศ์สุวรรณ์ อดีตการ์ด นปช. ซึ่งเป็นคนประกอบระเบิด

 

นอกจากนี้ยังพบข้อมูลเชื่อมโยงไปถึงนายกษิ ดิฐธนรัชต์ นักธุรกิจปุ๋ยยูเรียข้ามชาติ ค้าขายอยู่แถวตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นคนให้เงินนายสมัย และพามาเช่าห้อง ส่วนนางอัมพร ซึ่ง ณ ขณะนั้นข้อมูลบ่งชี้ว่าเป็นภรรยาของนายกษิ ถูกควบคุมตัวพร้อมผู้เกี่ยวข้องอีก 3 คนมาสอบปากคำ โดยให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ซึ่งตำรวจพบผู้เกี่ยวข้องอีกรายคือ น.ส.วสา เทพเรียน อายุ 25 ปี เจ้าหน้าที่รัฐสภา หลังพบว่ารับโอนเงินจากนายกษิ และส่งต่อให้บุคคลอื่นๆ แต่หายตัวไปจากบ้านพักพร้อมปิดโทรศัพท์มือถือด้วย

 

ทั้งนี้ น.ส.วสา เป็นเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด สภาผู้แทนราษฎร และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโอนเงินให้กับนายกษิ ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในคดีระเบิดสมานเมตตาแมนชั่น ย่านบางบัวทอง

 

 

และถ้ายังจำกันได้เมื่อช่วงต้นปี 2557 พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือในขณะนั้น ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกว่าขบวนการก่อเหตุระเบิดและใช้ความรุนแรงตามสถานที่ต่างๆได้มีกองกำลังต่างชาติเข้ามาผสมโรงด้วยเป็นที่เรียบร้อย

พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (ผบ.นสร.) ได้เข้าชี้แจงข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการทหารสภาผู้แทนราษฎร ถึงกรณีที่ระบุว่า

มีกองกำลังจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาก่อเหตุในช่วงการชุมนุมของ กปปส.โดยเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการนำข้อมูล และภาพถ่ายจากการติดตามของหน่วยข่าว พร้อมยืนยันว่า มีรถตู้นำคนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทางชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นระยะๆ โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้อำนวยความสะดวกพร้อมทั้งมีแกนนำเสื้อแดงเป็นผู้ประสานงาน โดยส่วนหนึ่งไปอยู่แถวตลาดไท และเขตอิทธิพลย่านปทุมธานี มีนบุรี หนองจอก ซึ่งขณะนี้เรากำลังเจาะอยู่ว่า 4 - 5 วัน จะเป็นอย่างไรต่อไป

 

นอกจากนี้ ทาง ผบ.นสร.ยังให้ข้อมูลกับทางคณะกรรมาธิการทหารอีกว่า กลุ่มคนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทางชายแดน โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายเสื้อแดงนำรถตู้ขบวนนี้เข้ามา ซึ่งทหารไม่มีอำนาจหน้าที่จะไปตรวจค้นได้พล.ร.ต.วินัย ยังได้นำเอกสารสรุปการปฏิบัติงานของหน่วยจากการปฏิบัติงานของพลซุ่มยิงของ นสร.เมื่อปี 2553 มาชี้แจง โดยเนื้อหาระบุว่ามีความเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าวมาตั้งแต่การชุมนุมเมื่อปี 2553

 

โดยยืนยันว่า มีการพบศพของคนเชื้อชาติกัมพูชาที่เสียชีวิตบริเวณหน้าลานพระบรมรูป รัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี 23 ศพ ซึ่งจากการตรวจการณ์พบว่า คนเหล่านี้ไม่ใช่คนไทย แต่เป็นคนกัมพูชา และอาจเป็นกองกำลังทหารที่ได้รับการฝึกฝน มีการจัดกำลังเป็นชุดปฏิบัติการพิเศษแสดงให้เห็นว่า มีแผนภูมิการวางกำลัง มีการเดินแปรรูปขบวน อาวุธประจำกาย มีการดักฟังเสียง และก็มีรูปถ่าย หลังจากที่เกิดเหตุฝ่ายทหารเข้าไปไม่ได้ ท่านบอกว่าอีกฝ่ายเขาเก็บศพใส่รถออกไป เป็นรถบรรทุกหกล้อและรถแช่แข็ง ด้านสวนลุมฯ ห่างจากตึกประมาณ 300 เมตร ใช้วิธีการตรวจด้วยกล้องส่องสองตา โดยตอนเช้าจะมีการนำคนมาอีก 8 คน ผู้หญิง 3 ผู้ชาย 5 พร้อมแกนนำคนสำคัญ 1 คน เก็บปลอกกระสุนมาล้างเลือด เพื่อทำลายหลักฐาน

 

ไม่เพียงเท่านั้น พล.ร.ต.วินัย ในขณะนั้นยังได้พูดถึงเหตุการณ์ระเบิดและกราดยิงเวทีการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ที่ อ.เขาสมิง จ.ตราด เมื่อวันที่ 22 ก.พ.2557 ซึ่งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โดยชี้ชัดว่าผู้ที่ลงมือก่อเหตุคือกองกำลังต่างชาติ

พร้อมทั้งระบุด้วยว่าเห็นแล้วใช่ไหมเกิดเรื่องแบบนี้แถวนี้ใครจะทำ ก็บอกแล้วกองกำลังต่างชาติมันโหดเหี้ยมไม่ต้องคิดอะไรมากแล้วเกิดเรื่องแบบนี้ ใครจะโหดเหี้ยมได้ขนาดนี้ คนไทยด้วยกันเองไม่ทำหรอก เตือนแล้ว บอกแล้วมันเข้ามา กำลังถกเครียดคาดไม่ถึงจะกล้าทำแบบนี้ไม่ต้องคิดมากว่าใครเตือนแล้ว กองกำลังต่างชาติโหดเพราะฉะนั้นเมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ปรากฏทั้งหมดก็เป็นที่ชัดเจนว่า ขบวนการกองกำลังติดอาวุธนั้นมีอยู่จริง ส่วนว่าใครจะเป็นผู้เกี่ยวข้องบ้างนั้น ก็ต้องตรวจสอบตามพยานหลักฐานกันต่อไป

 

 

เรียบเรียงโดย ชนุตรา สำนักข่าวทีนิวส์