- 04 ม.ค. 2560
ในวันนี้บรรดาแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. นั้นก็ได้เดินทางไปติดตามถามอาการป่วยนายจตุพรที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์แกนนำนปช. อาทิ ธิดา ถาวรเศรษฐ, นพ.เหวง โตจิราการ, สมหวัง อัสราษี,
ในวันนี้บรรดาแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. นั้นก็ได้เดินทางไปติดตามถามอาการป่วยนายจตุพรที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์แกนนำนปช. อาทิ ธิดา ถาวรเศรษฐ, นพ.เหวง โตจิราการ, สมหวัง อัสราษี, อารี ไกรนรา ได้เดินทางไปถึงโรงพยาบาลราชทัณฑ์เพื่อที่จะติดตามความคืบหน้ากรณีของนายจตุพร พรหมพันธุ์ เรื่องอาการป่วย
โดย ธิดา ได้ให้สัมภาษณ์ ต่อสื่อมวลชนภายหลังเข้าเยี่ยมนายจตุพรว่า อาการเบื้องต้นนั้นก็ดีขึ้นตามลำดับ ถือเป็นความโชคดีของนายจตุพรที่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ทำให้อาการไข้หนาวสั่น นั้นหายขาด อาการติดเชื้อลดลง
นางธิดา ระบุอีกด้วยว่า แต่ก็ยังพบข้อกังวลใหม่ ซึ่งจากการวินิจฉัยของแพทย์พบว่า เม็ดเลือดขาวในร่างกายนั้นต่ำมาก โดยส่วนตัวต้องการให้โรงพยาบาลราชทัณฑ์นั้นตรวจหาสาเหตุของโรคดังกล่าว เพราะอากาศที่จะเกิดขึ้นกับเพศชายนั้นเป็นได้ยาก
ส่วนสาเหตุของการเป็นกรวยไตอักเสบนั้นมาจากอากาศเป็นนิ่วหรือมีอาการบาดเจ็บอะไรบางอย่าง ดังนั้นถ้าโรงพยาบาลราชทัณฑ์นั้นไม่สามารถที่จะหาสาเหตุได้ก็ขอให้ขอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาลภายนอกเรือนจำ
ด้าน นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยความคืบหน้าอาการป่วยของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ในระหว่างถูกควบคุมตัว เนื่องจากมีอาการไข้และหนาวสั่น เมื่อวันที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา
เมื่อช่วงเช้า ได้ทำซีทีสแกน นายจตุพร เรียบร้อย ไม่พบความผิดปกติ แต่อย่างใด และตอนนี้อยู่ระหว่างนำตัวกลับไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ สำหรับญาติพี่น้อง และกลุ่มนปช.ที่เดินทางมาเยี่ยม นั้นให้ไปรอเยี่ยมได้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ซึ่งจะได้รับความสะดวก ในเรื่องของสถานที่ การเยี่ยมมากกว่าที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์
ทั้งนี้ กรมราชทัณฑ์ออกแถลงการณ์ชี้แจงเกี่ยวกับอาการป่วยของนายจตุพร สรุปว่าเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2559 นายจตุพรมีอาการไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะแสบขัด สีขุ่น ทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจึงได้ส่งตัวมารักษาในทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ จากการตรวจของแพทย์โดยละเอียด พบว่าเป็นอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จึงได้ให้การรักษาพยาบาลและรักษาตามอาการอย่างใกล้ชิด โดยเมื่อวันที่ 2 มกราคมมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการซ้ำอีกครั้ง พบว่าการทำงานของไตกลับมาอยู่ในภาวะปกติและปัสสาวะไม่มีเม็ดเลือดขาวเจือปน อาการไข้ลดลง และอาการทั่วไปดีขึ้นตามลำดับ และวันที่ 3 มกราคม อาการทั่วไปปกติดี ไม่มีไข้ ลุกเดิน ปฏิบัติภารกิจส่วนตัวได้ตามปกติ
วันที่ 4 มกราคมใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ตรวจดูว่ามีนิ่วในไตหรือไม่ หากไม่พบอาการผิดปกติจะส่งตัวกลับเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครต่อไป
สำหรับอาการป่วยของนายจตุพร แพทย์ก็ออกมายืนยันแล้วว่า ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่กระแสข่าวในหมู่คนเสื้อแดง นั้นถึงขั้นเอาเหตุการณ์นี้มาปลุกระดมคนเสื้อแดงเพื่อนัดชุมนุมเยี่ยมนายจุพรในวันอีกด้วย
โดยนางสุดสงวน หรือ อาจารย์ตุ้มของมวลชนคนเสื้อแดง ได้โพสต์ข้อความที่สื่อนปช.นำมาเผยแพร่ในทวิตเตอร์ ว่า “ประกาศพี่น้องหัวใจสีแดง 4 มกราคม 2560 เจอกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เราต้องไปเพื่อเยี่ยมเยียม/ติดตาม/ตรวจสอบว่าคุณจตุพร (หัวหน้าหมู่ทะลวงควัน ประธานนปช.) มีอาการเป็นอย่างไร การไม่ให้ประกันตัวเป็นสิทธิที่ชอบธรรมตามกฎหมาย ทำให้คนบริสุทธิ์ที่คิดต่างต้องมาป่วยในคุกหรือ ? …. “
ก่อนหน้านั้น ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ ลม.1/2557 ที่ผู้อำนวยสำนักการประจำศาลแพ่ง เป็นผู้กล่าวหา นางดารุณี กฤตบุญญาลัย , นางสุดสงวน สุธีสร หรืออาจารย์ตุ้ม อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนาย พิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ (เสียชีวิตแล้ว) เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1- 3 กรณีประพฤติตนไม่เรียบร้อยบริเวณศาล
จากเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2557 นางดารุณี นักธุรกิจไฮโซ แนวร่วม นปช. กับพวก นำมวลชนจำนวนมาก รวมตัวกันที่หน้าอาคารศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษกแล้วมีการอ่านแถลงการณ์ วางพวงหรีด และชูป้ายวิจารณ์การทำหน้าที่ของศาลแพ่ง คดีที่ กปปส. ฟ้องเพิกถอนการออกประกาศ ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาผูกติดไว้กับประตูรั้ว โดยศาลแพ่งไต่สวนและตรวจดูภาพที่บันทึกเหตุการณ์แล้วเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2557
โดยศาลฎีกาเห็นว่า ตามที่นางสุดสงวนขอให้ลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษนั้น ตามพฤติ การณ์เป็นเรื่องร้ายแรง ไม่มีเหตุรอการลงโทษ และนางสุดสงวนเป็นบุคคลที่มีความรู้ทางกฎหมาย มีตำแหน่งหน้าที่เป็นอาจารย์ประ จำมหาวิทยาลัย ย่อมรู้ดีว่าคำพิ พากษาของศาลย่อมมีทั้งก่อความพอใจและความไม่พอใจแก่คู่ความ ได้ ซึ่งฝ่ายแพ้คดีย่อมมีสิทธิ์อุทธรณ์คำพิพากษาต่อไป การนำคณะบุคคลมากดดันดุลยพินิจของศาล ย่อมเป็นการบ่อนทำลายสถาบันศาล ลิดรอนความเป็นอิสระของตุลาการ ให้เป็นไปตามอารมณ์ของคู่ความ นำไปสู่ความวุ่นวายโกลาหล ไร้ความมั่นคงของประเทศ เป็นการใช้กำลังข่มขู่ คุกคาม เพื่อให้ศาลยอมจำนนตามประสงค์ของฝ่ายตน แสดงถึงความเหิมเกริมไม่หวั่นเกรงกฎ หมาย
ทั้งที่ตนมีความรู้ จึงไม่มีเหตุควรปรานี ที่ศาลอุทธรณ์พิ พากษาให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา จึงพิพากษากลับ ให้จำคุกนางสุดสงวน เป็นเวลา 1 เดือน ตามคำพิพากษาศาล
อ้างอิงจาก เจาะข่าวร้อน ล้วงข่าวลึก
เรียบเรียงโดย ชนุตรา สำนักข่าวทีนิวส์