ยังไม่กลับรับราชการครู   !?!?  เปิดดูเหตุผล“อกศจ.สกลนคร” อธิบายชัด ...เพราะอะไร “ครูจอมทรัพย์” ยังเหมือนเดิม

คณะอนุกรรมการศึกษาจังหวัดสกลนคร ยืนยันยังไม่รับ"ครูจอมทรัพย์" กลับเข้ามารับราชการครู เพราะใบประกอบวิชาชีพได้หมดอายุแล้วเพราะอายุเกิน 50

คณะอนุกรรมการศึกษาจังหวัดสกลนคร ยืนยันยังไม่รับ"ครูจอมทรัพย์" กลับเข้ามารับราชการครู  เพราะใบประกอบวิชาชีพได้หมดอายุแล้วเพราะอายุเกิน 50

 

นายเทวรัฐ โตไทยะ ผู้อำนวยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 1 ยืนยันว่ามติคณะอนุกรรมการการศึกษาจังหวัดสกลนคร หรือ อกศจ. รับนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร วัย 54 ปี อดีตครูโรงเรียนบ้านม่วงไข่ประชาราษฎร์สงเคราะห์ ต.ด่านม่วงคำ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร กลับเข้ามารับราชการครู  ดังรายละเอียดที่ระบุดังนี้

 

อกศจ.สกลนคร ในคราวประชุมครั้งที่1/2560 เมื่อวันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 09:30  น. มีมติให้รับนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร กลับเข้ารับราชการครู

 

โดยให้ยื่นเอกสารเพิ่มเติมคือ ใบประกอบวิชาชีพครู และในการประชุม กศจ.สกลนคร ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 15:00 น. มีมติอนุมัติตามข้อเสนอของ อกศจ. สกลนคร 

 

 

ทั้งนี้ อกศจ.สกลนคร ยืนยันว่ายังไม่ได้ลงมติในเรื่องนี้ เนื่องจากติดเงื่อนไขใน 2 ส่วน คือ ส่วนแรกใบประกอบวิชาชีพครู ของครูจอมทรัพย์ ได้หมดอายุลงแล้ว เมื่อหลายปีก่อน จึงไม่สามารถกลับมารับราชการได้

 

 ส่วนที่สองคือ ระเบียบการ หรือ หลักเกณฑ์ จะไม่รับบุคคลที่อายุเกิน 50 ปี เข้ามารับราชการครู แต่เงื่อนไขเรื่องนี้ก็สามารถยกเว้นได้ หากรับกลับเข้ามาแล้วเกิดประโยชน์ต่อวงการศึกษา

       

อย่างไรก็ตาม ครูจอมทรัพย์ต้อง ไปดำเนินการในเรื่องใบประกอบวิชาชีพครูให้ถูกต้อง และยื่นเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม อกศจ.สกลนครอีกครั้ง เพื่อหารือในที่ประชุม และหากที่ประชุมมีมติเห็นชอบ

 

ก็ต้องทำเรื่องเสนอมายัง คณะกรรมการศึกษาส่วนกลางเป็นผู้พิจารณา ว่าจะเห็นชอบหรือไม่ นอกจากนี้ที่ผ่านมาในแวดวงการศึกษา ไม่เคยรับบุคลากรทางการศึกษาที่อายุเกินกว่า 50 ปี กลับเข้ามารับราชการครู

 

 

วานนี้ 10 กุมภาพันธ์ ที่ศาลจังหวัดนครพนม มีความคืบหน้าในคดีนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตครูโรงเรียนม่วงไข่ประชาสงเคราะห์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ที่ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 3 ปี 2 เดือน ในคดีขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 11 มี.ค.2548 และติดคุก 1 ปี 6 เดือน กระทั่งได้รับการอภัยโทษออกมาเมื่อปี 2558 ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกระทรวงยุติธรรมขอให้รื้อฟื้นคดีใหม่ โดยยืนยันว่าตนเองเป็นแพะ ไม่ได้เป็นผู้ขับรถยนต์ชนผู้อื่นเสียชีวิต

(คลิ๊ก : พยานหลักฐานเด็ด ฝ่ายครูจอมทรัพย์-ฝ่ายอัยการ)

โดยศาลจังหวัดนครพนมนัดสืบพยานต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 8-9 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งในวันนี้เป็นนัดสืบพยานเป็นวันที่ 3 ต่อจากเมื่อวันที่ 9 ก.พ. หลังจากศาลนัดสืบพยานฝั่งผู้คัดค้าน 9 ปาก จากทั้งหมด 14 ปาก ไปจนถึงกระทั่งเวลา 23.00 น. ของกลางดึกวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งยังคงเหลือพยานอีก 6 ปากที่เหลือ

 

ประกอบด้วย 1.พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ สัมฤทธิ์สกุลชัย รอง ผกก.สภ.เรณูนคร (พงส.คดีในขณะนั้น) 2.ร.ต.อ.ชัยบัญชา วังคะฮาด รอง สว. (สส.) สภ.เรณูนคร ผู้ที่เดินลงมาส่งนายสุริยา นวลเจริญ หรือครูอ๋อง และนางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ ที่รถ 3.พ.ต.อ.ปราโมทย์ อุทากิจ ผกก.กลุ่มงานสอบสวน ภ.จว.นครพนม 4.พ.ต.ท.อดิศักดิ์ ชมศรีหาราช (พงส.สภ.นาโดน ในขณะนั้น) 5. พ.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงศ์ อดีต ส.ว.มุกดาหาร (ผู้ที่อ้างว่าเคยมีเพื่อนครูจอมทรัพย์ไปปรึกษา) และ 6.พ.ต.อ.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ รอง ผบก.ภ.จว.หนองบัวลำภู (คณะชุดสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 ในการรื้อคดีครูจอมทรัพย์)

 

 

พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ เป็นพยานฝ่ายผู้คัดค้านปากแรก เบิกความต่อศาลว่า วันที่ 23 ธ.ค.2556 หลังจากนางจอมทรัพย์ถูกศาลฎีกาพิพากษาวันที่ 24 ก.พ.2556 นายสุริยา หรือครูอ๋อง นวนเจริญ พาตัวนายเสริฐ รูปสะอาด และนางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ มาพบเพื่อปรึกษาหารือคดีดังกล่าว ครูอ๋องอ้างว่านายเสริฐเป็นคนขับรถที่ชนคนตายตัวจริง จึงมีการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน

 

 

จากนั้น ร.ต.อ.ชัยบัญชาเบิกความเป็นคนที่สองว่า ช่วงบ่ายวันที่ 23 ธ.ค.2556 ได้พบนางทัศนีย์ หรือ ป้าเตี้ย ซึ่งเป็นภรรยาของ ด.ต.สมศักดิ์ หาญพยัคฆ์ อดีตตำรวจที่เคยอยู่ประจำ สภ.พระซอง อ.นาแก มาก่อน จึงทักทายกันในฐานะคนรู้จักกันมาก่อน ขณะเดียวกันนั้นครูอ๋องเดินผ่านมาที่โต๊ะทำงานตน จึงทักทายกัน เนื่องจากเป็นคนบ้านเดียวกันกับครูอ๋อง สมัยเป็นวัยรุ่นด้วยกันที่ อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

 

ต่อมา พ.ต.อ.ปราโมทย์ อุทากิจ พยานปากที่ 3 เบิกความว่า วันที่ 7 ม.ค.2557 ช่วงเช้าได้มีนายสุริยา หรือครูอ๋อง นายนิรันดร์ แสนเมืองโคตร สามีของครูจอมทรัพย์ นายทักศิล ไขสีดา นายเสริฐ รูปสะอาด และนายสับ วาปี มาพบตนที่ บก.ภ.จว.นครพนม เพื่อยื่นคำขอรื้อฟื้นคดีครูจอมทรัพย์ ตนจึงบอกว่าทางตำรวจดำเนินการอะไรไม่ได้ เพราะเลยอำนาจของพนักงานสอบสวนไปแล้ว แต่ประกอบกับทาง พล.ต.ต.ธนพล บริบูรณ์ ผบก.ภ.จว.นครพนม ในขณะนั้น ได้รับหนังสือจาก พ.ต.อ.เอกชัย นาถึง ผกก.สภ.เรณูนคร ในขณะนั้น ขอปรึกษาคดีดังกล่าว เพราะก่อนนี้ครูอ๋องได้พานายเสริฐกับนางทัศนีย์ไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.เรณูนคร เพื่อหาทางช่วยเหลือนางจอมทรัพย์

 

พ.ต.อ.ปราโมทย์เบิกความต่อว่า ทาง บก.ภ.จว.นครพนม จึงมีคำสั่งให้ทาง สภ.นาโดน พิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง หากเป็นความจริงตามที่ครูอ๋องกล่าวอ้าง ก็จะต้องหาช่องทางช่วยเหลือนางจอมทรัพย์ต่อไป ดังนั้นตนจึงประสานไปยัง พ.ต.ต.อดิศักดิ์ พนักงานสอบสวน สภ.นาโดน ในขณะนั้น เดินทางมาที่ บก.ภ.จว.นครพนม เพื่อทำการสอบปากคำครูอ๋องและพวก ที่ให้ข้อเท็จจริงว่าคนขับรถที่ชนนายเหลือ พ่อบำรุง เสียชีวิตนั้นคือนายเสริฐ จนกระทั่งช่วงบ่ายจึงสอบปากคำเสร็จ ต่อมาตนแนะนำให้กลุ่มครูอ๋องไปพบทนายอาสาที่สำนักงานยุติธรรม จ.นครพนม เพื่อหาทางช่วยเหลือตามที่ครูอ๋องกล่าว แต่ครูอ๋องไม่รู้จักสำนักงานดังกล่าว ตนจึงอาสาขับรถพาไปที่สำนักงานทนายความสัมพันธ์ ทวีพงษ์ หน้าที่ว่าการอำเภอเก่าจังหวัดนครพนม ถนนอภิบาลบัญชา เขตเทศบาลเมืองนครพนม โดยไปรถกันคนละคัน จากนั้นตนเองก็ขอแยกตัวกลับบ้าน โดยไม่ทราบว่าเขาปรึกษาเรื่องอะไรกันบ้างกับทนาย

 

จวบจนถึง ม.ค.2560 มาทราบข่าวทางสื่อว่าครูจอมทรัพย์ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมกรณีที่ตกเป็นแพะ ทางตำรวจภูธรภาค 4 ประชุมกันเห็นว่าตนเองเคยพบปะกับกลุ่มครูอ๋องมาตั้งแต่ปี 2557 จึงให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีนี้ ตนจึงเรียกพยานแวดล้อมมีนายลัน โทนแก้ว ซึ่งเป็นผู้ถูกระบุว่าเป็นผู้ซื้อรถต่อจากนายสับ วาปี เมื่อปี 2545 และนายอุบล ไชยบัน บุคคลที่ซื้อรถทะเบียน บค 56 มุกดาหาร ต่อจากนายลัน และพยานอีกหลายๆ ปากมาประกอบกัน

 

จนแน่ใจว่ามีขบวนการสร้างหลักฐานและพยานเท็จ มีทั้งหมดจำนวน 9 คน 1.นายสุริยา หรือครูอ๋อง นวนเจริญ 2.นายนิรันดร์ แสนเมืองโคตร สามีของครูจอมทรัพย์ 3.นายสับ วาปี บุคคลที่อ้างว่าเป็นคนขับรถชนคนตายตัวจริง 4.นายทักศิล ไขสีดา 5.นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ และเพื่อนครูของครูจอมทรัพย์อีก 4 คน จึงได้มอบหลักฐานดังกล่าวยื่นต่อศาล แต่ต้องรอศาลฎีกาพิพากษาจะยกหรือไม่ยกคำร้อง ถึงจะดำเนินคดีกับขบวนการเหล่านี้

 

ด้าน พ.ต.อ.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ พยานปากสุดท้ายได้แถลงต่อศาลว่า เห็นดัวยกับการรื้อฟื้นคดีกับครูจอมทรัพย์ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้คัดค้าน ถ้าเป็นความจริง หากศาลมีคำสั่งว่าครูจอมทรัพย์เป็นผู้บริสุทธิ์ ก็จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงนำตัวผู้ต้องหาตัวจริงมาดำเนินคดี แต่จากการสืบสวนสอบสวนที่มีการอ้างว่านายสับเป็นผู้ต้องหาตัวจริงที่ขับรถยนต์เฉี่ยวชนเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต เป็นการสร้างพยานเท็จ ก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่นายเสริฐ บุคคลที่ครูอ๋องสร้างเป็นตัวละครว่าขับรถชนคนตายคนแรกนั้น จะถูกกันไว้เป็นพยานฝ่ายคัดค้าน

ขณะเดียวกันนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลังรับฟังศาลจังหวัดนครพนมแถลปิดการพิจารณาสืบพยานทั้งสองฝ่ายว่า 

"ดีใจที่ได้มีโอกาสพูด ได้มีโอกาสต่อสู้ พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่ได้ดำเนินการเรื่องการรื้อฟื้นคดี

พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ได้ให้คณะของกรมสอบสวนคดีพิเศษเข้ามาช่วยเหลือในการต่อสู้คดีในครั้งนี้

ขอบคุณหน่วยงานและองค์กรต่างๆ รวมทั้งเพื่อนครูโรงเรียนจอมบึง 24 ที่คอยให้กำลังใจเสมอมา ที่สำคัญขอขอบคุณคนไทยทั้งประเทศที่ส่งกำลังใจมาให้ไม่ขาดสายเช่นกัน

นอกจากนี้ยังขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนง ที่ได้ตีแผ่เรื่องราวที่เกิดขึ้นจนทำให้มีวันนี้ ท้ายที่สุดยังคงเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม

ทั้งนี้เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงกระแสข่าวที่ทางคณะอนุกรรมการศึกษาธิการจังหวัดสกลนคร มีมติให้รับนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร

กลับเข้ารับราชการครูอีกครั้งรู้สึกอย่างไร นางจอมทรัพย์ระบุเพียงสั้นๆว่าขอให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่"

 

เรียบเรียง ชนุตรา