จากคนจนผู้ยิ่งใหญ่ สู่..ตำนานเพลงระดับหมื่นล้าน?? “แอ๊ด คาราบาว”โผล่ขึ้นปก Forbes นักร้องที่ “ร่ำรวย”ที่สุดของไทย!!

จากคนจนผู้ยิ่งใหญ่ สู่..ตำนานเพลงระดับหมื่นล้าน?? “แอ๊ด คาราบาว”โผล่ขึ้นปก Forbes นักร้องที่ “ร่ำรวย”ที่สุดของไทย!!

เรียกได้ว่าเรียกเสียงฮือฮากันยกใหญ่เลยทีเดียวสำหรับกรณีที่ตำนานเพลงเพื่อชีวิตต่อยอดสู่ความสำเร็จหมื่นล้านของ “คาราบาวแดง” พบกับเรื่องราวเบื้องลึกของศิลปินวัย 62 ปี ยืนยง โอภากุล ที่จับมือกับอีก 2 แม่ทัพใหญ่ด้านการบริหารเพื่อก่อตั้ง บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยเน้นกลยุทธ์ Music Marketing และ Sports Marketing ชิงส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลังจนก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของไทยแซงหน้าเจ้าตลาด คาราบาวกรุ๊ปยังขยายธุรกิจต่อเนื่องทั้งสินค้าเครื่องดื่ม อุปโภคบริโภค และร้านค้าปลีก พร้อมก้าวไกลสู่ตลาดนานาชาติตั้งแต่ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ยุโรป และตะวันออกกลาง เพื่อทวีคูณรายได้เท่าตัวในอนาคต

ก่อนจะมาเป็นร้านขนมชื่อดังอย่าง “อาฟเตอร์ ยู” กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) เคยล้มมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อแรกเริ่มก่อตั้งร้านอาหารทะเล แต่เธอนำบทเรียนประสบการณ์ความล้มเหลวครั้งนั้นมาเป็นพลัง ผนวกกับความฝันที่ต้องการเป็นเจ้าของร้านขนม กุลพัชร์เดินทางศึกษาสูตรขนมหวานสร้างความต่างก่อกำเนิดเป็นร้าน อาฟเตอร์ ยู ที่สามารถบริหารถึงจุดคุ้มทุนได้ภายใน 2 ปี และเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ถึง 8.92 พันล้านบาท
เครื่องจักรที่โลดแล่นในท้องนาที่พบเห็น อาจเป็นรถเกี่ยวนวดข้าวของ TAMCO เพราะรถเกี่ยวสายพันธุ์ไทยบริษัทนี้ครองส่วนแบ่งตลาดรถเกี่ยวนวดข้าวถึง 50% พบเรื่องราวจาก กิตติศักดิ์ หยกอุบล ทายาทรุ่น 2 แห่ง บริษัท เครื่องจักรกลเกษตรไทย จำกัด ผู้สืบทอดกิจการของบิดาซึ่งเริ่มต้นด้วยเงินทุนเพียง 8 หมื่นบาท แต่สามารถขยายอาณาจักรเป็นบริษัทรายได้ 400 ล้านบาท และส่งเครื่องจักรจากท้องนาไทยไปไกลถึงแผ่นดินแอฟริกา

จากคนจนผู้ยิ่งใหญ่ สู่..ตำนานเพลงระดับหมื่นล้าน?? “แอ๊ด คาราบาว”โผล่ขึ้นปก Forbes นักร้องที่ “ร่ำรวย”ที่สุดของไทย!!


เฟซบุ๊ก Forbes Thailand ได้โพสต์คลิปโปรโมตความยาว 3.37 นาที เป็นบทสัมภาษณ์บางส่วนของแอ๊ด คาราบาว

ช่วงกลางปี 2559 นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่าในปี 2559  บริษัทน่าจะสามารถทำยอดขายเติบโตขึ้น 10% จากเดิมที่มียอดขาย 8,300 ล้านบาท พร้อมทั้งตั้งเป้าว่าบริษัทจะต้องเพิ่มรายได้ในตลาดต่างประเทศให้ได้ร้อยละ 50 ภายในสองปี โดยเน้นกลยุทธ์สปอร์ตมาร์เกตติ้ง ขณะที่ในเดือนพฤศจิกายน 2559 บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG dHได้เข้าเซ็นสัญญาเป็นผู้สนับสนุนหลักฟุตบอลลีกคัพของอังกฤษ หรือ EFL Cup และได้เปลี่ยนชื่อเป็น “คาราบาว คัพ” เป็นระยะเวลานาน 3 ปี (เริ่มฤดูกาลหน้าคือ 2017/2018, 2018/2019 และ 2019/2020) ด้วยงบลงทุนรวม 18 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 800-900 ล้านบาท

ขณะที่ข้อมูลในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ณ วันที่ 7 เมษายน 2560 มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 64,250 ล้านบาท โดย นายยืนยง โอภากุล ถือหุ้นในบริษัทมากเป็นลำดับที่ 3 ด้วยจำนวน 70,480,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 7.05 รองจาก บริษัท เสถียรธรรมโฮลดิ้ง จำกัด และ น.ส.ณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ

 

ขอบคุณข้อมูลจากForbes Thailand Magazine , ฐานเศรษฐกิจ