ทุกขั้วทุกสี !?!? ย้อนรอย ชะตากรรม “นายธาริต เพ็งดิษฐ์” รับใช้การเมือง สุดท้ายโดนไล่ออกจากราชการ (รายละเอียด)

ทุกขั้วทุกสี !?!? ย้อนรอย ชะตากรรม “นายธาริต เพ็งดิษฐ์” รับใช้การเมือง สุดท้ายโดนไล่ออกจากราชการ (รายละเอียด)

สืบเนื่องจากกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ส่งสำนวนการไต่สวน และรายงานความเห็นกรณีชี้มูลความผิด นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เหตุร่ำรวยผิดปกติ ไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เพื่อให้ลงโทษไล่นายธาริตออกจากราชการ

โดยมีการแจ้งหนังสือดังกล่าวไปยังพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)โดยต้นสังกัดคือ สำนักนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งกลับมายังปปช. มีการไล่นายธาริต ออกจากราชการแล้ว และยังมีหนังสือชี้แจงจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีถึงกรณีสั่งลงโทษไล่นายธาริต ออกจากราชกาล โดยระบุว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ และได้มีคำสั่งไล่นายธาริตให้พ้นจากราชการตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา

ทุกขั้วทุกสี !?!? ย้อนรอย ชะตากรรม “นายธาริต เพ็งดิษฐ์” รับใช้การเมือง สุดท้ายโดนไล่ออกจากราชการ (รายละเอียด)

โดยจากกรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ และ นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เดินทางมายังศาลอาญา เพื่อฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีที่ พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ อดีตผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นโจทก์ฟ้อง ฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ถึง 8 ตุลาคม 2555 นายธาริต และ นายชาญเชาว์ ขณะดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ทำหนังสือโยกย้าย พ.อ.ปิยะวัฒก์ จากตำแหน่ง ผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา ดีเอสไอ ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะคดี ซึ่งมีระดับต่ำกว่าเดิม คดีนี้ศาลชั้นต้นได้พิพากษาจำคุก นายธาริต 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา แต่ยกฟ้อง นายชาญเชาว์ จำเลยที่ 2ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายธาริต ได้ทำบันทึกเสนอย้ายโจทก์ โดยมี นายชาญเชาวน์ เป็นผู้ลงนามเห็นชอบ ซึ่งโจทก์ได้นำสืบว่าตัวเองได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีสำคัญหลายเรื่อง และมีความเห็นขัดแย้งกับนายธาริต หลายเรื่อง ซึ่ง นายธาริต ไม่ได้ส่งเรื่องย้ายโจทก์ไปยังคณะกรรมการคดีพิเศษให้พิจารณาก่อน จึงส่อเจตนาว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ศาลจึงพิพากษาแก้ให้จำคุก นายธาริต และ นายชาญเชาวน์ คนละ 2 ปี แต่ทั้งสองคนรับราชการ ทำคุณงามความดี และไม่เคยต้องโทษจำคุก จึงให้รอลงอาญา 2 ปี
โดยหากเราจะย้อนไปถึงพฤติการณ์ของนายธาริตนั้นต้องบอกว่า มีการพบพฤติการณ์ยักย้ายแปรสภาพ ซุกซ่อนทรัพย์สินต่างๆ ป.ป.ช.จึงสั่งอายัดไว้จำนวน 2 ครั้ง จำนวน 90 ล้านบาท ต่อมาได้แจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งนายธาริต ได้มารับทราบข้อกล่าวหา แต่ไม่ยอมมาชี้แจงแก้ข้อกล่าวว่า โดยอ้างว่าไม่เข้าใจข้อกล่าวหาของอนุกรรมการไต่สวน และบอกว่าอนุกรรมการไม่ให้ความเป็นธรรม โดยอนุกรรมการได้เปรียบเทียบรายได้ของนายธาริต ซึ่งพบว่ามีทรัพย์สินที่ ป.ป.ช.พิจารณาว่าไม่มีที่มาที่ไป และมีที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 346,652,588 บาท จึงมีมติชี้มูลความผิดกรณีร่ำรวยผิดปกติ
โดยในวันนี้สำนักข่าวทีนิวส์จะได้ไปไล่เรียงประวัติชีวิตของนายธาริตมาให้คุณผู้ชมได้รับทราบอีกครั้ง โดยตลอดชีวิตราชการของนายธาริตถูกระบุว่า รับใช้การเมือง “ทุกขั้วทุกสี” และมักทุ่มสุดตัว ออกหน้าแทนโดยไม่แคร์ว่าจะถูกกล่าวหาว่า “เปลี่ยนสี”

เริ่มต้นเกี่ยวข้องกับการเมืองนับตั้งแต่ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ชักชวนให้มาช่วยงานด้านการเมือง เป็นทีมงานของ ‘พันธ์ศักดิ์ วิญญูรัตน์’ ที่ปรึกษา “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี

ขณะที่ดำรงตำแหน่งอัยการประจำกรม ระหว่างนั้นเป็นหัวหอกสำคัญในการร่วมร่างกฎหมายจัดตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ สมัยที่สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นั่งเป็น รมว.ยุติธรรม แต่ยังไม่ได้นั่งเก้าอี้เป็นอธิบดีดีเอสไอโดยต้องรอต่อคิวอีกยาวจากนั้นจึงไปร่วมยกร่างกฎหมายจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และดำรงตำแหน่งเลขาธิการคนแรก

ทั้งนี้นาย “ธาริต” เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ผมถือว่ามีความก้าวหน้าในช่วงรัฐบาลไทยรักไทย ความรู้สึกในบุญคุณ หรือความเมตตาที่ฝ่ายการเมืองให้กับผม ผมก็เก็บไว้ ความรู้สึกที่ดี หรือความเมตตาที่ได้รับ เราก็ไม่ได้จืดจาง เลอะเลือน หรือลืมไป ผมว่าข้าราชการที่เติบโตในช่วงนี้ ผ่านยุคสมัยของไทยรักไทยมาทั้งนั้น”

กระทั่งรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายธาริตมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม ขณะนั้นไว้ใจ ให้ขึ้นเป็นหัวหอกดีเอสไอ เมื่อปี 2552

แต่การทำงานของเขากลับไม่ได้รับการไว้ใจจาก “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในขณะนั้น มากเสียเท่าไหร่ เพราะรู้ไส้รู้พุงว่า นายธาริตโดนตราหน้าว่าเป็นคนของนายทักษิณ

จุดหักเหสำคัญของนายธาริตเกิดขึ้นเมื่อปี 2553 เมื่อเกิดการชุมนุมของคนเสื้อแดงนาย “ถวิล เปลี่ยนศรี” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ขณะนั้น เป็นคนชักชวนให้นายธาริตเข้ามาร่วมกับ “วอร์รูม” ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งนายธาริตถือเป็นกลไกสำคัญหนึ่งที่ทำให้ ศอฉ. ยืนสู้กับคนเสื้อแดงมาได้

ธาริต เป็นคนเสนอแผนผังล้มเจ้าที่โยงใยคนเสื้อแดงกับกลุ่มการเมืองในที่ประชุม ศอฉ. พร้อมนำบุคคลในผังดังกล่าว เข้าสู่คดีพิเศษ เพื่อออกหมายเรียกให้มาชี้แจง

หนำซ้ำยังเป็นคนจัดฉากให้ “สุเทพ” มอบตัวต่อดีเอสไอ ตามคำขอของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพื่อลดกระแสต้าน แต่ก็ไม่ได้ผลหลังจากนั้น “ธาริต” ในฐานะอธิบดีดีเอสไอ ดำเนินการฟ้องร้องกลุ่มคนเสื้อแดง และ นปช. ในคดีก่อการร้าย หลายคดีด้วยกัน

กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งในปี 2554 คนที่ “สุเทพ” เป็นห่วงมากที่สุดคือ “ธาริต” จึงได้มอบรถกันกระสุนให้นายธาริตมาใช้เพื่อไว้ป้องกันตัวเองจากขั้วตรงข้ามที่อาจไม่หวังดี

แต่เหตุการณ์กลับแปรผัน พรรคเพื่อไทยเปลี่ยนเกม ไม่เด้งนายธาริตตามคำขู่ของ “เฉลิม อยู่บำรุง” แกนนำพรรค
แต่วางเกมให้นายธาริตเป็น “หมากตัวหนึ่ง” เพื่อใช้ต่อรองกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะการทำคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมในปี 2553

โดยนายธาริตได้สั่งให้ดีเอสไอรื้อคดีมาทำใหม่ทั้งหมด ทำให้นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ต้องตกอยู่ในฐานะจำเลยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และยังใช้นายธาริตเป็นคนขับเคลื่อนคดีความไม่โปร่งใสในการก่อสร้างโรงพักทดแทนทั่วประเทศ มูลค่า 5.8 พันล้านบาท เล่นงานนายสุเทพกลับ
นาย ธาริต ตั้งต้นเป็นปฏิปักษ์กับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ จนถูกมองว่า “เปลี่ยนสี” ซึ่งตรงกันข้ามกับคำแก้ตัวที่บอกว่า ต้องทำงานสนองนโยบายรัฐบาล เพราะถือเป็นผู้บังคับบัญชา

ในวงลับเมื่อเจอเพื่อนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขในวง ศอฉ. มักจะเตือนนายธาริตกันว่า “ระวังจะกลายเป็นกิ้งกือตกท่อ” แต่เขาไม่สนใจ ทำตามคำสั่งของรัฐบาลเพื่อไทยต่อ

กระทั่งการชุมนุมของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) “ธาริต” ก็ยังเป็นกลไกสำคัญที่ใช้ปราบม็อบ ทำตามคำสั่ง “เฉลิม” จับจริงนายสุเทพ ตั้งข้อหาก่อการร้าย ไม่เหมือนในปี 2553 ที่แค่จัดฉากเล่นละคร
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์รัฐประหารกลางปี 2557 นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ขณะนั้น ชื่อของ “ธาริต” ถูกแบล็คลิสต์ทันที ก่อนถูกย้ายเข้ากรุจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ ให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีจนกระทั่งในวันนี้นั้น ศาลจึงพิพากษาแก้ให้จำคุก นายธาริต และ นายชาญเชาวน์ คนละ 2 ปี แต่ทั้งสองคนรับราชการ ทำคุณงามความดี และไม่เคยต้องโทษจำคุก จึงให้รอลงอาญา 2 ปี

จนกระทั่งท้ายสุดนายธาริต ได้ถูกลงโทษให้ออกจากราชการในที่สุด