- 22 พ.ค. 2560
รายการทีนิวส์สด ลึก จริง วันนี้ (22 พ.ค.60) นำเสนอปม ปฏิรูปตำรวจ ที่ครั้งนี้อาจไม่ตรงจุด หรือถูกใจประชาชน
21 พ.ค.60 "11 องค์กรภาคประชาสังคม" ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ปฏิรูปตำรวจอย่างเป็นรูปธรรมและตรงไปตรงไป จากกรณีคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจศึกษาแผนการปฏิรูปกิจการตำรวจในคณะกรรมการประสานงาน สนช.และ สปท.ซึ่งมี พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิชย์ เป็นประธาน ได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 พ.ค.60 ที่รัฐสภา ว่าจะเสนอต่อรัฐบาลให้ปฏิรูปตำรวจ ด้วยการโอนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปเป็นหน่วยงานขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตามด้วยการเพิ่มเงินเดือนตำรวจทุกตำแหน่งให้มากกว่าข้าราชการทุกฝ่าย ว่า องค์กรภาคประชาสังคมไม่อาจจะปล่อยให้ข้อเสนอในลักษณะนี้ผ่านไปได้ โดยไม่มีการกำหนดแนวทางการปฏิรูปที่แท้จริงไว้ และไม่เห็นด้วยที่จะให้ประชาชนผู้เป็นตำรวจ จำนวน 2 แสน 2 หมื่นคน ซึ่งถือเป็นต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศ ทำงานด้วยวิธีการเดิมภายใต้โครงสร้างองค์กรเดิม ส่งผลให้เกิดความเดือนร้อนต่อประชาชนตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เราเห็นว่าการปฏิรูปต้องเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรตำรวจอย่างเป็นรูปธรรม สามารถแก้ปัญหาตามที่ประชาชนเรียกร้องต้องการได้อย่างแท้จริง ซึ่งประเด็นสำคัญจึงไม่ใช่การกำหนดที่มาของ ผบ.ตร.และไม่ใช่การขึ้นเงินเดือนตามเหตุผลที่มักพูดถึงทุกครั้ง เพราะตำรวจไม่ได้ทำงานหนักหรือเสี่ยงภัยอันตรายกันทุกตำแหน่งทุกคน และการขึ้นเงินเดือนไม่ได้เป็นหลักประกันว่าตำรวจผู้ใหญ่จะไม่ทุจริตฉ้อฉล หรือทำตัวเป็นผู้ร้ายในเครื่องแบบอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม 11 องค์กรภาคประชาสังคม จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ดำเนินการปฏิรูปตำรวจอย่างจริงจังตรงไปตรงมา ดังนี้
1.ให้เร่งดำเนินการตามมติสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่ให้โอนตำรวจ 9 หน่วย ไปให้กระทรวง ทบวง กรม ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ และเป็นการกระจายอำนาจตำรวจออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
2.ให้แยกงานสอบสวนออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สร้างหลักประกันความยุติธรรมในการสอบสวนคดีอาญาให้เป็นที่เชื่อถือของประชาชน
3.ให้พนักงานอัยการมีอำนาจตรวจสอบควบคุมการสอบสวนคดีอาญาที่มีโทษจำคุกเกินสิบปี หรือเมื่อมีการร้องเรียนตั้งแต่เริ่มคดี
4.กำหนดให้การสอบสวนต้องกระทำในห้องที่จัดขึ้นเฉพาะ โดยมีระบบบันทึกภาพและเสียงเก็บเป็นหลักฐานไว้ให้อัยการ และศาลสามารถเรียกตรวจสอบได้เมื่อจำเป็นทุกคดี
5.ไม่ว่าจะให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือมหาดไทย หรือให้ขึ้นต่อนายกรัฐมนตรีเช่นปัจจุบัน จะไม่มีความแตกต่างอะไร หากไม่ปฏิรูปโครงสร้างภายในอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการแยกงานสอบสวนออกจากตำรวจ
6.การปฏิรูปจะไม่เกิดขึ้นเลยหากให้มีตำรวจมานั่งเป็นประธานหรือกรรมการในการทำแผนปฏิรูปฯ โดยไม่ฟังเสียงประชาชนอย่างแท้จริง
"พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการปฏิรูปตำรวจจะเป็นจริงได้ในเร็ววัน หลังจากที่ประชาชนคนไทยต้องอดทนกับรัฐบาล คสช.ที่เข้ามาทำงานกว่า 3 ปี แต่ไม่มีความคืบหน้าเรื่องการปฏิรูปตำรวจอย่างแท้จริง คนไทยส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิตกันอย่างหวาดกลัว เป็นเบี้ยล่างให้กลุ่มอิทธิพลในเครื่องแบบ เอารัดเอาเปรียบ ถูกกลั่นแกล้งยัดข้อหา ค้าสำนวนคดี บางคนต้องยอมส่งส่วยให้รีดไถ ผู้บริสุทธิ์มากมายต้องกลายเป็นแพะ ครอบครัวล่มสลายจากการต่อสู้คดีความที่ไม่เป็นธรรมจากการกระทำของตำรวจอีกต่อไป"
ส่วนทางด้านของ นายถาวร เสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การย้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปอยู่ภายใต้รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ซึ่งตัวรัฐมนตรี ในอนาคตเป็นใครยังไม่ทราบ ก็จะเป็นการนำองค์กรตำรวจ ซึ่งเป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรมไปอยู่ใต้อิทธิพลของฝ่ายการเมืองอยู่ดี ถามว่าจะเป็นการปฏิรูปจริงหรือไม่ ที่สำคัญตัวประธานอนุฯ พล.ต.ท.บุญเรือง สังคมรู้ว่ามีความสนิทสนมกับใครบางคนในผู้มีอำนาจ
"การปฏิรูปตำรวจของ สนช.และ สปท.ในครั้งนี้ ขอให้สังคมจับตาดูว่า สนช.และ สปท.มาจากไหน ทำงานให้ใคร เพราะแผนปฏิรูปตำรวจตามที่ปรากฏเป็นข่าว ไม่มีการระบุถึงการกระจายอำนาจให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจในพื้นที่ รวมถึงไม่มีการกล่าวถึงการคืนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่นให้ตรงกับภารกิจของหน่วยงานนั้นๆ ที่ซ้ำซ้อน" นายถาวรกล่าว
อดีตรองหัวหน้าพรรค ปชป.กล่าวว่า อยากเตือนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พึงระวังในข้อเสนอที่ระบุเป็นการปฏิรูปตำรวจในครั้งนี้ เพราะไม่ใช่แนวทางที่แท้จริงของการปฏิรูปตำรวจที่ประชาชนและสังคมต้องการ ไม่ใช่แค่เปลี่ยนแปลงบางอย่างโดยการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ตำรวจชั้นผู้น้อย แล้วมากล่าวอ้างว่าเป็นการปฏิรูปตำรวจ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สังคมจับตามอง จึงขอให้นายกฯ พิจารณาให้รอบคอบถี่ถ้วน