แดงตัวพ่อ !?!? ย้อนคำพูด “จักรภพ เพ็ญแข” เล่าถึง วิธีการต่อสู้ของเราในฝ่ายประชาชน จะต้องถูกต้องและเป็นสากล (มีคลิป)

เงียบหายไปนานสำหรับ “จักรภพ เพ็ญแข”  แดงตัวพ่อ ผู้ต้องหาหนี้คดี กระทำความผิดตามมาตรา112 โผล่ออกมาแล้วหลังจากที่หนังสือพิมพ์คมชัดลึกได้เขียนบทความพาดพิงถึงจักรภพ ว่า เป็นคนจัดหาที่อยู่ให้โกตี๋ ในเขมรโดยระบุ ว่า กลุ่มโกตี๋หรือกลุ่มสหพันธรัฐไทย ได้เดินทางจากสปป.ลาว ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่าน โดยแยกออกเป็น 2กลุ่ม

ประกอบด้วย ลุงสนามหลวง หรือ  ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ , ขุนทอง ไฟเย็น , แยม ไฟเย็น , สหายยังบลัด และข้าวเหนียวมะม่วง  ส่วนกลุ่มที่สอง มี “โกตี๋” และสหายเผด็จ ใช้วิธีจรยุทธ์หลบหนีการไล่ล่าของหน่วยรบพิเศษ และสำหรับกลุ่มชูชีพ ได้อพยพจากลาวมาอยู่ในกัมพูชา โดยมี จักรภพ เพ็ญแข เป็นผู้ประสานงาน จัดหาที่พักให้
ล่าสุดนายจักรภพ เพ็ญแข ได้ออกแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊ก ปฏิเสธเรื่องดังกล่าว
โดยนายจักรภพ ได้โพสต์ผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวเมื่อ วันอังคาร ที่ 20 มิถุนายน ที่ผ่านมา ว่าตามที่สำนักข่าวคมชัดลึกได้ลงข่าวว่า ผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับโกตี๋และคณะ ในทำนองว่าได้ช่วยเหลือสนับสนุนให้เข้ามายังประเทศเพื่อนบ้านนั้น ผมขอปฏิเสธ และขอย้ำว่าข่าวดังกล่าวเป็นความเท็จ

สถานการณ์ไทยขณะนี้ ไม่มีเหตุให้ต้องเข้าเสริม เพราะสมดุลอำนาจกำลังจะถูกทำลายอยู่แล้ว รัฐไทยกำลังเดินเข้าสู่ความเป็นรัฐล้มเหลว กลายเป็นหลุมดำท่ามกลางการพัฒนารอบด้าน ผมมั่นใจว่าไม่มีผู้รักชาติคนใดจะยอมให้บ้านเมืองล้มเหลวลงได้ถึงขนาดนั้น ผมคนหนึ่งที่จะไม่ยอม แต่วิธีการต่อสู้ของเราในฝ่ายประชาชนจะต้องถูกต้องและเป็นสากลด้วย
 

นี่คือเนื้อหาส่วนหนึ่ง ในเฟชบุ๊คของนายจักรภพ เพ็ญแข 

ก็ต้องขยายความให้ชัดว่าการที่นายจักรภพ ปฏิเสธว่าไม่ได้เข้าไปยุ่งกับขบวนการของโกตี๋นั้น เพราะตนเอง เชื่ออยู่แล้วว่า ในที่สุดประเทศไทย ซึ่งบริหารราชการโดย คสช.และ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเดินเข้าสู่ความล้มเหลว และในที่สุดประเทศไทยก็ต้องมีอันเป็นไป ดังนั้นนายจักรภพจึงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเข้าไปเสริมทีมของโกตี๋ นั้นเป็นเหตุผลประการแรก

ส่วนเหตุผลประการที่สอง นายจักรภพได้กล่าวว่า วิธีการต่อสู้ของเราในฝ่ายประชาชน จะต้องถูกต้องและเป็นสากลว่า ซึ่งประโยคดังกล่าวนี้ แปลความหมายว่าแนวทางการต่อสู้ของโกตี๋นั้น เป็นเรื่องที่ นานาชาติไม่ยอมรับ ดังนั้นจักรภพจะให้นานาชาติเข้าใจว่าตัวเองมาหนุนโกตี๋ไม่ได้ เพราะจะทำให้ความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวของจักรภพเสียไป
จักรภพนั้นงานสำคัญในการต่อสู้กับอำนาจรัฐไทย ที่รับผิดชอบอยู่คือการเปิดแนวรบด้านต่างประเทศ ภายใ้นโยบายโลกล้อมไทยที่ระบอบทักษิณและเสื้อแดงได้ประกาศเสมอมา ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นนับตั้งแต่คสช. เข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่22 พ.ค2557แล้ว ปรากฏว่าได้มีการจัดตั้ง 

องค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยขึ้นในสหรัฐอเมริกาเพื่อให้เป็นองค์กรสากลที่นานาชาติยอมรับ โดยมีนาย จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรเพื่อไทย ซึ่งได้หลบหนี้ออกจากประเทศไทยตั้งแต่คสช.ยึดอำนาจ เป็นเลขาธิการ
องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยได้มีการประชุมกันหลายครั้งในสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมอย่างหลากหลายเน้นหนักไปที่พวกขบวนการล้มเจ้า ซึ่งกระทำความผิดตามมาตรา112  อาทิ เสน่ห์ ถิ่นแสน (หรือนามแฝง ดร.เพียงดิน รักไทย) ชูพงศ์ ถี่ถ้วน จรัล ดิษฐาอภิชัย สุนัย จุลพงศธร ดารุณี กฤตบุญญาลัย มนูญ หรือ เอนก ชัยชนะ จอม เพชรประดับ จรรยา ยิ้มประเสริฐ

และหลังจากนั้น นายจักรภพก็ได้เข้าร่วมกับองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยอย่างเปิดเผยด้วยเช่นกัน
บทบาทอันน่าสนใจอย่างยิ่งของ “จักรภพ เพ็ญแข นั้นต้องถือว่าเป็นนักวิเคราะห์การเมืองชั้นเซียน เพียงแต่ กลุ่มผู้เคลื่อนไหวในแนวร่วมสีแดงทั้งหมด มักมองข้าม ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ซึ่งหากย้อนไปดูเมื่อวันที่9 ธ.ค. 2556 ที่ขณะนั้นการชุมนุมของกลุ่มกปปส. เป็นไปอย่างเข็มขั้นขึ้นมาเพื่อเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขณะนั้น 
จักรภพ เพ็ญแขก็ได้ออกมาวิเคราะห์ว่า ฝ่ายกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ต้องการให้มีการจัดตั้งรัฐบาลพิเศษ ใน”ระบบสมบรูณ์ “ ย้ำจักรภพใช้คำว่าระบอบสมบรูณ์ แต่ความจริงต้องการโจมตีไปที่สถาบันฯ 

ในบทวิเคราะห์ เมื่อวันที่9 ธ.ค. 2556นั้น นายจักรภพได้วิเคราะห์ว่า กลุ่มคนเสื้อแดงจะต้องเข้าใจ ว่าขณะนี้ม๊อบกปปส.นี้ออกนอกรัฐธรรมนูญไปแล้ว ขณะที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยยังยืนอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น เกมส์การเมือง จึงต้องเดินไปตามเกมส์ของกปปส. เป็นเรื่องที่เสียเวลาป่าว ควรจะคิดยุทธวิธี หรือวิธีการต่อสู้ ของฝ่ายเสื้อแดงเอง เสียดีกว่า
สถานการณ์ วันนี้เป้าหมายระยะสั้นไม่ใช่การเอาชนะม็อบ และยังไม่ใช่การเตรียมเลือกตั้ง แต่เป็นการต่อต้านมิให้เกิดรัฐบาลพิเศษขึ้นได้

ซึ่งนั้นหมายความว่านายจักรภพได้คาดการไว้ว่าจะต้องมีการจัดตั้งรัฐบาลพิเศษขึ้น แต่ยังไม่ได้ชี้ชัดลงไป ว่าจะเกิดการรัฐประหาร
นอกจากนั้นนายจักรภพยังวิเคราะห์ต่อไปว่า สิ่งที่เครือข่ายคนเสื้อแดงควรจะทำ คือจะต้องเตรียมการจัดตั้งรัฐบาล “พลัดถิ่น” ขึ้นในทันที ภายหลังจากที่สถานการณ์ในประเทศถูกบีบรัดเข้ามา

ซึ่งนายจักรภพเห็นว่าไม่ว่าสถานการณ์ในประเทศจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ระดับโลกต้องเตรียมผู้บริหารอีกชุดหนึ่งเอาไว้เป็นอะไหล่ หากรัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่รอดต่อไปได้ รัฐบาลอะไหล่ก็ไม่ต้องใช้ แต่หากกปปส.รุกต่อไปเรื่อยๆ จนไม่มีที่ให้ยืน ก็ให้ประกาศเลยว่า ม๊อบดังกล่าวเป็นม๊อบหน่วยนำของการก่อการกฏบ หรือ การก่อรัฐประหาร ให้ใช้สิทธิ์ของการเป็นรัฐบาลผู้มีเสียงข้างมาก ที่ทั้งโลกให้การรับรอง จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้น
เห็นได้ชัดเจนว่าความคิดของจักรภพในการต่อสู้ทางการเมืองนั้น มีเป้าหมายชัดเจน ในการที่จะเอาสถานการณ์โลกเข้ามาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพียงแต่ว่า ฝ่ายคนเสื้อแดงไม่เชื่อในความคิดและการวิเคราะห์ของจักรภพ เมื่อคสช.เข้ายึดอำนาจจึงแตกพ้ายไปอย่างไม่เป็นท่า
ทั้งนี้ทั้งนั้นแนวทางก่อต่อสู้จากแนวรบนอกประเทศ อย่างนายจักรภพ  ที่ได้กล่าวมานั้น อย่างไรในท้ายที่สุดก็จะต้องมาเชื่อมโยง กับยุทธศาสตร์การต่อสู้ของขบวนการปฏิวัติ ตาม ยุทธศาสตร์2แนวทาง 5 แนวรบ คือแนวทางสันติ กับแนวทางความรุนแรง
2แนวทาง 5 แนวรบ
1พรรค 2มวลชน 3กองกำลังติดอาวุธ 4แนวรบต่างประเทศ 5แนวรบด้านข่าวสาร

ก็มาพิจารณาดูว่าในขณะนี้ สำหรับพรรคการเมือง จะเป็นพรรคใดนั้น ท่านผู้ชมก็ต้องไปตีความกันเอาเอง
2 มวลชน คือกลุ่มนปช. ซึ่งแน่นอนว่า พรรคกับมวลชนนั้นต่อสู้ด้วยแนวทางสันติ
3 กลุ่มกองกำลังติดอาวุธ และ 4 แนวรบต่างประเทศ

2แนวรบนี้จะสร้างสถานการณ์ความรุนแรงในประเทศ และใช้แนวรบต่างประเทศสร้างแนวร่วมกับนาๆชาติ
ส่วนแนวรบที่5 แนวรบด้านข่าวสาร ก็แล้วแต่แหล่ะค่ะ ว่าจะหยิบฉวยอะไร สถานการณ์ ด้านสันติ หรือความรุนแรงมา ขยายความเพื่อให้เป็นประโยชน์กับสงครามปฏิวัติ
และสำหรับกองกำลังติดอาวุธนั้นก็เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าได้เริ่มต้นอย่างเป็นรูปธรรมตามที่อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำนปช.เคยได้กล่าวไว้ ที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2553ซึ่งพิจารณาได้จากคำปราศรัยของนายอริสมันต์  เริ่มจากประโยคแรกที่ระบุว่า“เดิมทีคนเสื้อแดงมีแค่พรรคการเมืองและมวลชนเท่านั้น”

น่าสนใจว่า คำว่าเดิมทีของนายอริสมันต์หมายถึงการต่อสู้เมื่อคราวเมษาเลือด 2552 ใช่หรือไม่ เนื่องจากเป็นการพูดถึงการต่อสู้ด้วยพรรคการเมือง และมวลชน อย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น

หลังจากนั้นนายอริสมันต์ก็พูดต่อว่า “แต่วันนี้แก้วอีกประการหนึ่งที่เรารอคือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเขาพร้อมปกป้องคนเสื้อแดงและพร้อมเป็นปฏิปักษ์กับกองทัพถ้ากองทัพทำร้ายประชาชน”

ตรงนี้ชัดเจนว่า เป็นการพูดถึงการต่อสู้ในปัจจุบัน ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ซึ่งนายอริสมันต์เปรียบว่าเป็นแก้วอีกประการ ซึ่งก็เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากแนวทางการต่อสู้ของแก้ว 3 ประการ ที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเคยหยิบขึ้นมาต่อสู้กับกองทัพไทยในอดีต ซึ่งประกอบไปด้วย

แก้วประการที่1.คือพรรค ซึ่งในที่นี้หมายถึงพรรคเพื่อไทย แก้วประการที่ 2 มวลชน คือกลุ่มคนเสื้อแดง และแก้วประการที่ 3 กองกำลังติดอาวุธ ซึ่งก็หมายถึงกองกำลังไม่ทราบฝ่าย

ซึ่งวันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า ได้มีกลุ่มโกตี๋ หรือนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ ขานรับแนวทางอย่างเปิดเผย ที่จะเปลี่ยนการปกครองของประเทศไทยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไปสู่่ระบบสหพันธรัฐ ร่วมกับองค์การเสรีไทย เพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย  แนวรบต่างประเทศ
เป็นเรื่องที่คสช. รัฐบาล กองทัพ จะต้องชัดเจนว่าการก่อเหตุทั้งหมดอยู่ในแนวรบของสงครามปฏิวัติ ไม่ใช่แค่อาชญกรรมธรรมดา ดังนั้นเมื่อส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินคดี จะต้องติดตามดำเนินคดีอย่างใกล้ชิด มิฉะนั้นจะมีการทำสำนวนให้อ่อนลงอย่าง เช่น คดียิงวัดพระแก้ว จนศาลต้องพิพากษายกฟ้องไปแล้ว