เปิดคำทำนาย !?!? หมอดูอีที ทัก พระธัมมชโย ...แม่นแค่ไหน ต้องอ่าน!

เปิดคำทำนาย !?!? หมอดูอีที ทัก พระธัมมชโย ...แม่นแค่ไหน ต้องอ่าน!

เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ช็อกโลกขึ้นเมื่อสื่อต่างประเทศรายงานว่า นางส่วย ส่วย วิน หรือหมอดูอีที หมอดูชื่อดังชาวพม่า อายุ 58 ปี ได้เสียชีวิตแล้วเมื่อเวลา 04.20 น. ของวันที่ 10 กันยายน 2560 ขณะที่ในโลกออนไลน์ทั้งสื่อของเมียนมา และผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวเมียนมาต่างโพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพแสดงความอาลัยต่อการจากไปของหมอดูอีทีอย่างกว้างขวาง

เปิดคำทำนาย !?!? หมอดูอีที ทัก พระธัมมชโย ...แม่นแค่ไหน ต้องอ่าน!

สำหรับ หมอดูอีที เป็นหมอดูชื่อดังที่บรรดาเหล่าคนดังจากทั่วทุกมุมโลกต่างเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังประเทศพม่า เพื่อมาขอให้หมอดูอีทีทำนายดวงชะตาให้ไม่เว้นแม้แต่นักการเมืองไทย โดยหมอดูอีทีเป็นที่กล่าวขวัญถึงการทำนายที่แม่นยำและหยั่งรู้ถึงอนาคต จนคนที่เดินทางไปดูต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าแม่นราวกับตาเห็น

เปิดคำทำนาย !?!? หมอดูอีที ทัก พระธัมมชโย ...แม่นแค่ไหน ต้องอ่าน!

เปิดคำทำนาย !?!? หมอดูอีที ทัก พระธัมมชโย ...แม่นแค่ไหน ต้องอ่าน!

ซึ่งหนึ่งในคำทำนายของหมอดูอีทีนั้น เคยได้ทำนายถึงพระธัมมชโย โดยทำนายเอาไว้ว่า "พระรูปนี้เป็นพระที่ดีมาก ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม เป็นพระที่มีความบริสุทธิ์สนใจแต่บุญ ไม่สนใจอำนาจทางโลก พระรูปนี้จะช่วยคนเป็นจำนวนมากและสร้างครูประโยชน์ให้กับส่วนรวม จะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเผยแผ่ธรรมะขยายไปทั่วโลก "

เปิดคำทำนาย !?!? หมอดูอีที ทัก พระธัมมชโย ...แม่นแค่ไหน ต้องอ่าน!

เปิดคำทำนาย !?!? หมอดูอีที ทัก พระธัมมชโย ...แม่นแค่ไหน ต้องอ่าน!

ทว่ากลับขัดแย้งกับสถานการณ์ในประเทศไทยเมื่อในคืนวันที่ 5 มีนาคม 2560 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ถอดถอนสมณศักดิ์พระเทพญาณมหามุนี (พระไชยบูลย์ สุทธิผล, พระธัมมชโย) วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี เป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีกระทําความผิดข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สมคบกันฟอกเงิน และรับของโจร ตามที่ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับ ที่ 942/2559 

สำหรับคดีความที่เกิดขึ้นกับ “พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย นั่นคือคดียักยอกทรัพย์สินของวัดพระธรรมกายไปเป็นสมบัติส่วนตัว 
ต้นตอของคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2541 พระอดิศักดิ์ วิริสโก อดีตพระลูกวัดพระธรรมกาย กล่าวหาพระธัมฺมชโยว่า ยักยอกเงินและที่ดินที่บรรดาญาติโยมบริจาคให้วัด และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น ใกล้ชิดสีกา และอวดอุตริมนุสธรรม ต่อมา กรมที่ดินได้สำรวจพบ พระธัมมชโยมีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินและบริษัทที่เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายกว่า 400 แปลง เนื้อที่กว่า 2 พันไร่ ใน จังหวัดพิจิตร และเชียงใหม่

มหาเถรสมาคมจึงมอบหมายให้ พระพรหมโมลี เจ้าอาวาสวัดยานนาวา ซึ่งเป็นเจ้าคณะภาค 1 ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งมีข้อสรุปว่า เป็นจริงตามที่ถูกกล่าวหา มหาเถรสมาคม จึงมีมติให้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของเจ้าคณะภาค 1 คือ ให้ปรับปรุงคำสอนของวัดพระธรรมกายว่า นิพพานเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา และยุติการเรี่ยไรเงินนอกวัด

และสมเด็จพระสังฆราชฯ สกลมหาสังฆปรินายก ได้มีพระลิขิตให้คืนที่ดินและทรัพย์สินขณะเป็นพระให้วัดพระธรรมกายแต่ พระธัมมชโย ไม่ยอม กรมการศาสนาจึงได้เข้าแจ้งความต่อกองปราบปราม กล่าวโทษในคดีอาญา ม.137 ,147 และ 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ข้อหาที่พระธัมมชโยถูกฟ้องก็คือ เป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยร่วมกันยักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกาย จำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร โดยโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร จำเลยที่ 2 และนำเงินอีกเกือบ 30 ล้านไปซื้อที่ดินกว่า 900 ไร่ ใน ต.หนองพระ (จ.พิจิตร) และที่ ต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ โดยโอนกรรมสิทธิ์ให้นายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์

นอกจากนี้ ยังมีอดีตทนายความวัดพระธรรมกายและประชาชนที่เคยเลื่อมใสศรัทธา ในวัดพระธรรมกาย เข้าแจ้งความดำเนินคดีพระธัมมชโยเช่นกัน ฐานฉ้อโกงเงิน 35 ล้าน โดยแยกเป็นคดีความทั้งหมด 5 คดี

ทว่า เกือบ 7 ปี ของการดำเนินคดี ตั้งแต่ปี 2542-2547 เหลือสืบพยานจำเลยอีก 2 นัด ในวันที่ 23 และ 24 สิงหาคม 2549 เท่านั้น แต่แล้วในวันที่ 21 สิงหาคม พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 ซึ่งเป็นโจทก์ ก็ขอถอนฟ้องจำเลย คือ พระธัมมชัยโย และ นายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์ โดยเรืออากาศโทวิญญู วิญญกุล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา5 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาล สรุปว่า ปัจจุบันจำเลยที่1 กับพวก ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาตรงตามพระไตรปิฎกและนโยบายของคณะสงฆ์ ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไป ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการของศาสนา ทั้งของคณะสงฆ์ ภาครัฐและเอกชนจำนวนมาก 

ส่วนด้านทรัพย์สินนั้น จำเลยที่1กับพวก ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดคืน ทั้งที่ดินและเงินจำนวน 959,300,000บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย
การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 กับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ครบถ้วนทุกประการแล้ว ประกอบกับขณะนี้ บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่าหากดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักรและไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อัยการสูงสุด ( นายพชร ยุติธรรมดำรง) จึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทุกข้อกล่าวหา

ก่อนหน้าที่อัยการจะถอนฟ้องเพียงเดือน เศษ ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2549 พล.อ.อ. คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้สถานที่วัดพระธรรมกาย จัดงาน “ รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี “ โดยระดมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั่วประเทศ 80,000 คน มาร่วมงาน ซึ่งมี นายทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานและกล่าวปาฐกถา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมขับไล่ นายทักษิณ

ชัดเจนว่าพระธัมมชโยได้ทำการยักยอกทรัพย์สินของวัดมาเป็นของตัวเอง แต่เมื่อเรื่องจวนตัวจนศาลเกือบจะพิพากษาให้ติดคุกอยู่รอมร่อ พระธัมมชโยจึงคืนเงินให้แก่วัด และอัยการก็ถอนฟ้อง