พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ให้เป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดนายกรัฐมนตรี

แฉชัด ๆ เด้ง ‘พงศ์พร’ เหตุล้ำเส้น เดินหน้าตรวจสอบทุจริตกรรมการมหาเถรสมาคม และพระสมเด็จบางรูป

วันที่ 29 สิงหาคม 2560 ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รับโอน พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ให้เป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้น ก็มีการแต่งตั้งทางด้าน คณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมติตามที่ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เสนอขอรับโอนนายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ให้มาดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา (ผอ.พศ.) โดยได้ผ่านความเห็นชอบของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้นายมานัสจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 1 ต.ค.2561


วันที่ 6 กันยายน 2560 ทางด้านนายจิรชัย มูลทองโร่ย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 214/2560 ให้ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ รักษาการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) ตำแหน่งที่ 15 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นอกจากนั้น ทางด้านนายจิรชัย มูลทองโร่ย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 215/2560 มอบหมายให้ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ รับผิดชอบการตรวจราชการในเขตตรวจราชการที่ 8 ประกอบด้วย จังหวัดสงขลา จังหวัดสตูล จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส มีผลตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2560
เป็นต้นไป

และทางด้าน พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ได้ทำหนังสือในฐานะผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถึงนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ยอมรับคำสั่งย้ายจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไปเป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า ....

 

ตามที่นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ มีบันทึกข้อความลง วันที่ 5 กันยายน 2560 แต่งตั้งให้นายกนก แสนประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการผู้อำนวยการสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยอ้างถึงมติคณะรัฐมนตรีได้เมื่อ 29 สิงหาคม 2560 ที่ให้รับโอน พ.ต.ท.พงศ์พร ไปเป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำให้ พ.ต.ท.พงศ์พร ไม่อาจปฏิบัติราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติได้นั้น

“กระผมขอเรียนว่า

1.การรับโอนและการให้ไปช่วยราชการข้างต้นนั้น มิได้เป็นไปโดยความรู้เห็นหรือความสมัครใจของเจ้าตัว

2.เมื่อมติคณะรัฐมนตรี มีผลให้กระผมพ้นจากตำแหน่ง นับตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ฉะนั้น กระผมจึงยังอยู่ในตำแหน่งนี้และมีอำนาจหน้าที่ในตำแหน่งทุกประการ จนกว่าจะเข้าเงื่อนไขดังกล่าว

3.การขอและการให้ยืมตัวกระผมไปช่วยราชการ ทั้งที่รู้ว่าคณะรัฐมนตรีมีมติข้างต้น อาจขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี และอาจกระทบพระราชอำนาจได้

4.การอนุมัติให้ยืมตัวของท่าน พิจารณาเพียงว่าสำนักนายกรัฐมนตรีไม่เสียหาย แต่มิได้พิจารณาว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงหรือทบวง (พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 มาตรา 46) เสียหายหรือไม่ อนึ่ง การให้ยืมตัวหัวหน้าส่วนราชการขณะที่มีรองหัวหน้าส่วนราชการซึ่งใกล้เกษียณ (1 ตุลาคม 2560) เหลือเพียงนายคนเดียวน่าจะทำให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งมีภารกิจกว้างขวางเสียหายได้

5.การอนุมัติให้ยืมตัวผมไปช่วยราชการ มิใช่กฎหมาย จึงไม่ทำให้กระผมพ้นจากตำแหน่งและอำนาจหน้าที่ในตำแหน่ง อีกทั้งในความเป็นจริงกระผมยังปฏิบัติราชการในตำแหน่งได้ โดยมิต้องนั่งประจำที่สำนักงานพระพุทธศาสนา ฉะนั้น การรักษาราชการแทนตามคำสั่งที่อ้างถึงจึงยังไม่เกิด เพราะการรักษาราชการแทนเป็นไปโดยผลของกฎหมาย มิใช่การแต่งตั้งของผู้ใด นอกจากนี้การแต่งตั้งตามคำสั่งที่อ้างไม่จำเป็นต้องกระทำ เนื่องจากขณะนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพียงคนเดียว (พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 46)

6. การถือปฏิบัติตามคำสั่งที่อ้างถึงในขณะนี้ จะทำให้เกิดการปฏิบัติราชการโดยปราศจากอำนาจทางกฎหมาย ทำให้เสียหายแก่ราชการร้ายแรงได้

7.การแจ้งให้กระผมไปช่วยราชการ ยังมิได้กระทำโดยผู้บังคับบัญชา

ทั้งนี้ กระผมได้มีหนังสือเรียนปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ พศ.๐๐๐๐๑/๐๙๓๒๘ ลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๐ เพื่อแย้งกรณีดังกล่าวไว้ด้วยแล้ว รายละเอียดตามเอกสารที่แนบ”


 

 


ขณะที่ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ทำหนังสือแย้งคำสั่งถูกโอนย้ายให้มาเป็นผู้ตรวจราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ตนเองได้ทราบเรื่องนี้จากข่าวเช่นกัน ยังไม่ได้เห็นหนังสือตัวจริง คงต้องขอขึ้นห้องทำงานไปดูรายละเอียดเสียก่อน แต่อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ตนกำกับดูแลงาน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ดังนั้น ถือว่าตนเป็นผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.ท.พงศ์พร และต้องดูแลความเรียบร้อยของ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ส่วนเรื่องอื่น ๆ ก็ค่อยไปว่ากัน

นอกจากนั้นแล้วทางด้าน นายออมสิน ยังกล่าวต่อ หลังจากที่ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก ผอ.พศ. ไม่รับคำสั่งผู้บังคับบัญชากระทำได้หรือไม่ นายออมสิน กล่าวว่า ไม่รับคำสั่งของผู้บังคับบัญชาคงไม่ได้กระมัง

ขณะที่ทางด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือแย้งถึงนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ระบุการถูกโยกย้ายจากตำแหน่ง ผอ.พศ.ในครั้งนี้ไม่ถูกต้องตามกฎหมายว่า การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการหรือการขอตัวให้ช่วยราชการ ไม่ต้องได้รับการยินยอม แต่เป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชา อาจมีการสอบถามว่ามีความพร้อมหรือไม่ แต่จะไปหรือไม่ไปเป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชา สำหรับกรณีนี้ แบ่งเป็น 2 ประเด็น

ประเด็นแรก เป็นเรื่องการโยกย้าย จะต้องเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณานำขึ้นกราบบังคมทูลฯ แต่ในระหว่างการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ที่จะต้องใช้เวลา จึงอาจเกิดปัญหาที่จะต้องเข้าไปจัดการ ทำให้ต้องหาคนเข้ามารักษาการ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่อยู่ในตำแหน่งรองลงมา เพื่อเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาไปพลางก่อน ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติปกติของทางราชการ

กรณีของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ยืนยันว่า พ.ต.ท.พงศ์พร สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดี แต่เพื่อความเหมาะสมเห็นควรให้ไปปฏิบัติหน้าที่อย่างอื่น ซึ่งระหว่างนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) มีภารกิจช่วยงานด้านพระพุทธศาสนาในฐานะเลขาธิการมหาเถระสมาคม (มศ.) ดังนั้น ผอ.พศ.จะต้องเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจ สามารถร่วมงานกันได้ พร้อมกันนี้ยังมีหน้าที่ในการปราบปรามการทุจริตต่อจาก พ.ต.ท.พงศ์พร ที่ทำมาได้ดีอยู่แล้ว แต่ต้องเปลี่ยนรูปแบบเป็นการดูจากภายในไปสู่ภายนอก

 

อีกประเด็นคือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) มีภาระในการร่วมจัดศาสนพิธีการถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ร่วมกับกรมการศาสนา จึงเป็นสาเหตุที่ให้นายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนา มาดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ.คนใหม่ และตั้งใจว่าจะให้รักษาการในตำแหน่งเดิมต่อไปด้วย จนกว่าจะเสร็จงานพระราชพิธี



นอกจากนี้แล้วยังมี กรณีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และมหาเถรสมาคม (มส.) จะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหากับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนที่ซื้อที่ดินมาโดยสุจริต ผอ.พศ.จึงต้องมีภาวะความเป็นผู้นำ ทำงานร่วมกับคณะสงฆ์ ตำรวจ กรมที่ดิน อย่างใกล้ชิด รองนายกฯ กล่าวอีกว่า แต่เนื่องจากต้องใช้เวลาในการรอโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง การทำงาน จึงอาจไม่หนักแน่น จึงคิดว่าต้องให้นายกนก แสนประเสริฐ รอง ผอ.พศ. ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในช่วงสิ้นเดือนก.ย.นี้ เป็นผู้รักษาการช่วยงานไปพลางก่อน เนื่องจากนายกนก มีความเชี่ยวชาญเรื่องการชั่งรางวัดที่ดิน ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาที่ดินอัลไพน์ได้ดี และยังสามารถช่วยประสานงานกับคณะสงฆ์ได้ดี อย่างไรก็ตาม หากพ.ต.ท.พงศ์พร เห็นว่าคำสั่งโยกย้ายให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการ สามารถยื่นอุทธรณ์ร้องเรียนได้ตามขั้นตอน ตนเองจะเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา ไม่เกิน 24 ชั่วโมง เรื่องจะต้องจบ โดยไม่ขอเปิดเผยถึงวิธีการ และไม่ขอวิจารณ์เนื้อหาหนังสือชี้แจงดังกล่าว

ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2560 ทางแฟนเพจเฟซบุ๊คของหลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)

ได้โพสต์ข้อมูลเอาไว้ดังต่อไปนี้ .....

อ้อ... รู้แล้วล่ะ คุณพงศ์พร เจอข้อหาล้ำเส้น ไม่มีสัมมาคารวะนี่เองจึงถูกใบแดง
๑๑ กันยายน ๒๕๖๐

เราลองมาเปิดหู เปิดตา เปิดใจ ท่องไปในโลกแห่งสมมุติกันดูอีกซักที เผื่อจักได้เกิดโลกียปัญญากับเขาบ้าง

สังคมไทยยังคร่ำครึ จมปลักอยู่กับความเชื่อผิดๆ ว่า

ที่มีอยู่แต่ละชนชั้นยังมีเส้นแบ่งโดยไม่แยกถูกแยกผิด

ในครั้งพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงทำลายเส้นแบ่งชนชั้นนี้ด้วยหลักของคุณธรรม

ทรงชี้ให้เห็นว่าแม้จักบวชมานานเท่าใดก็ตาม หากไม่มีคุณธรรม ไม่บรรลุถึงคุณธรรมใดๆ ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นพระมหาเถระ

ซึ่งต่างกับผู้ที่บวชเข้ามาแม้เพียงวันเดียว หากเป็นผู้ทรงคุณวิเศษ บรรลุถึงคุณธรรมอันเอกอุ ถึงจะอยู่ในสถานภาพของสามเณร เช่น

สามเณรเรวตตะ ผู้ได้บรรลุพระอรหันต์ ผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตร

องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำให้ภิกษุสงฆ์เรียกสามเณรเรวตะรูปนั้นว่า พระมหาเถระ

จึงเป็นที่มาของวลีสุภาษิตไทยที่ว่า

คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน
คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน
คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโต

แต่ยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในกรรมการมหาเถรสมาคม เห็นตรงกันข้ามกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไม่เว้นแม้แต่คนในรัฐบาล คสช.ที่ประกาศว่าจะยกย่องข้อกฎหมายและคุณธรรมเป็นเครื่องมือในการบริหารราชการแผ่นดิน

ข้อหาล้ำเส้นไม่มีสัมมาคารวะ จึงถูกจับโยนให้คุณพงศ์พร ที่บังอาจไปตรวจสอบการทุจริตในการทำหน้าที่ของกรรมการมหาเถร

โดยเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่ของสมเด็จบางรูปที่แก่แต่ไม่มีความละอาย ไปแต่งตั้งผู้มีมลทินตามพระธรรมวินัยให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด จนนำมาซึ่งคุณพงศ์พรต้องไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อสมเด็จพระสังฆราช

พวกบรรดากองเลขาหน้าม้าทั้งหลายจึงรวมหัวกันยื่นใบแดงต่อรัฐบาลเพื่อผลักดันให้เปลี่ยนตัว ผอ.สำนักพุทธ

แล้วรัฐบาลก็บ้าจี้ กลัวว่าสังคมพุทธ โดยเฉพาะพวกพระมาเฟียจะโทษว่า รัฐบาลกำลังส่งคุณพงศ์พรมากลั่นแกล้งและคอยจับผิดคณะสงฆ์ดังที่พวกนักบวชจีวรแดงพยายามโพนทะนามาตลอด

รัฐบาลจึงรับลูกด้วยการลงดาบย้ายคุณพงศ์พรออกจากการปฏิบัติหน้าที่ ผอ.สำนักพุทธเสีย เพื่อตัดปัญหากระทบกระทั่งกับแก๊งค์มาเฟียใหญ่ที่ฝังตัวอยู่ในผ้าเหลือง

งานนี้จึงกลายเป็นภาพอุ้มคนชั่ว รังแกคนดีอย่างที่เห็น

จะด้วยเจตนาหรือไม่ แต่ผลที่ออกมามันกลายเป็นการแสดงความอ่อนแอของรัฐบาล คสช. ที่ยอมสยบศิโรราบให้แก่อธรรมอย่างยากที่จะแก้ตัว

พวกเราก็ได้แต่หวังว่าท่านนายกจะรู้สึกตัว หาวิธีแก้ไขตามที่รับปากไว้ว่าจะปฏิรูปวงการคณะสงฆ์และกฎหมายปกครองคณะสงฆ์ให้สำเร็จ

นี่คงจะเป็นวิธีแก้ภาพลบให้กลับมาเป็นภาพลักษณ์ที่ทำให้คนทั้งแผ่นดินรักศรัทธาได้

พวกเรายังมีความหวังว่าท่านนายกจะทำได้อย่างที่พูด

และโปรดอย่าไปเกรงกลัวต่ออำนาจของพวกโจรปล้นพระพุทธศาสนาเลย

มันจะไม่เป็นผลดีต่อชาติและประชาชนเลย

พุทธะอิสระ