จากกรณีที่ทางด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีหนังสือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เลขรับ 20479 วันที่ 7 ส.ค.2560

กลุ่มพลังชาวพุทธ ส่งหนังสือถึง ผบ.ตร. ขอยกเลิกคำสั่งเรื่องพระรับเงินเป็นอาบัติ อ้างวินัยพระ พระดูแลกันเอง ตำรวจไม่มีสิทธิ์ยุ่ง

จากกรณีที่ทางด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีหนังสือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เลขรับ 20479 วันที่ 7 ส.ค.2560 เรื่องพระรับเงินเป็นอาบัติ, บันทึกข้อความ ส่วนราชการ สลก.ตร.ที่ 0001.31/ว 289 ตำรวจภูธรภาค 4 เลขรับที่ 13294 วันที่ 11 ก.ย.2560 ตามที่นายเกษม ดวงแพงมาต (อดีตพระเกษม ที่อื้อฉาวในอดีต อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์) ได้ทำหนังสือถึงพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และแนะนำให้สำนักงานตำรวจเอาผิดพระสงฆ์เนื่องด้วยการรับเงินรับทองผิดพระวินัย และเสนอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติปฏิบัติใน 2 ประเด็น คือ
1.ให้ตำรวจตักเตือนพระสงฆ์เมื่อเห็นมีการรับเงินรับทอง
2. ให้ผลักดันกฎหมายขึ้นมาบังคับพระสงฆ์มิให้มีการรับเงินรับทอง และมีบทลงโทษทางอาญาเพิ่มเติมหากมีการละเมิด
จากข้อเสนอแนะนี้ จึงได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาจากหลายส่วนจากสำนักงานตำรวจทั้งส่วนกลางและภูมิภาค

 

ล่าสุดทางด้าน ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์ ตัวแทนกลุ่มพลังชาวพุทธ ได้ทำหนังสือถึง ผบ.ตร. ให้มีการยกเลิกคำสั่งเรื่องพระรับเงินเป็นอาบัติ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

 

 

กลุ่มพลังชาวพุทธ

วันที่ 25 กันยายน 2560
เรื่อง ขอให้ยกเลิกคำสั่งเรื่องพระรับเงินเป็นอาบัติ
เรียน พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
อ้างถึง หนังสือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เลขรับ 20479 วันที่ 7 ส.ค.2560 เรื่องพระรับเงินเป็นอาบัติ, บันทึกข้อความ ส่วนราชการ สลก.ตร.ที่ 0001.31/ว 289 ตำรวจภูธรภาค 4 เลขรับที่ 13294 วันที่ 11 ก.ย.2560
ตามที่นายเกษม ดวงแพงมาต (อดีตพระเกษม ที่อื้อฉาวในอดีต อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์) ได้ทำหนังสือถึงพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และแนะนำให้สำนักงานตำรวจเอาผิดพระสงฆ์เนื่องด้วยการรับเงินรับทองผิดพระวินัย และเสนอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติปฏิบัติใน 2 ประเด็น คือ
1.ให้ตำรวจตักเตือนพระสงฆ์เมื่อเห็นมีการรับเงินรับทอง
2. ให้ผลักดันกฎหมายขึ้นมาบังคับพระสงฆ์มิให้มีการรับเงินรับทอง และมีบทลงโทษทางอาญาเพิ่มเติมหากมีการละเมิด
จากข้อเสนอแนะนี้ จึงได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาจากหลายส่วนจากสำนักงานตำรวจทั้งส่วนกลางและภูมิภาค เรื่องให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจและตักเตือนว่ากล่าวพระภิกษุสามเณรหากมีการพบเห็น
กรณีปัญหาของการร้องเรียนและคำสั่งที่ออกมาทั้งหมด จึงขอชี้แจงให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้ใต้บังคับบัญชาทราบในข้อเท็จจริง ดังนี้


1. พระวินัยเป็นเรื่องของสงฆ์ แม้จะมีภิกษุประพฤติผิดพระวินัย พระสงฆ์ด้วยกันเองเท่านั้นจึงมีสิทธิ์ลงโทษพระสงฆ์ด้วยกันเองไม่เกี่ยวกับชาวบ้าน ถ้าไม่ผิดอาญาแผ่นดิน เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่งเกี่ยวพระวินัยของสงฆ์ได้ แม้กระทั่งศาลปกครองก็มิได้รับพิจารณาคดีที่ฟ้องร้องเกี่ยวกับการบริหารของวัดต่างๆ เนื่องจากเป็นกิจการภายในของสงฆ์อยู่ในอำนาจของมหาเถรสมาคมโดยตรงอยู่แล้ว


2. การรับเรื่องร้องเรียนนั้น ให้วินิจฉัยก่อนว่า ผู้ร้องมีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่ และต้องตรวจสอบเรื่องร้องเรียนนั้นกับหน่วยงานที่ถูกร้องเรียนก่อน มิใช่ใครมาร้องเรียนก็จะเชื่อตามนั้นทั้งหมด กรณีนี้ นายเกษม ดวงแพงมาตผู้ร้องนี้ อดีตเคยเป็นพระสงฆ์มาก่อน และต้องอาบัติหนักขาดจากความเป็นพระสงฆ์จึงได้สึกออกไป คนประเภทนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นเหมือนต้นตาลยอดด้วน ไม่มีโอกาสงอกงามไพบูลย์ในธรรมของพระองค์ได้อีก คำเสนอแนะของนายเกษมจึงถือเอาประมาณมิได้ นอกเสียจากจะมีเจตนากลั่นแกล้งรังแกเบียดเบียนพระสงฆ์มากกว่าที่จะมีเจตนาดีต่อพระศาสนา
อนึ่ง การร้องเรียนในลักษณะของนายเกษม ดวงแพงมาตนี้ มีพระวินัยอนิยตกำหนดไว้ว่า ผู้ที่จะมาร้องเรียนกล่าวโทษพระสงฆ์และที่สงฆ์จะเชื่อฟังตามนั้น ต้องเป็นผู้ที่พอจะเชื่อถือได้ การที่นายเกษมต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถือว่าต้องโทษประหารในทางพระวินัยเหมือนคนตายแล้ว คำกล่าวของคนเช่นนี้ จัดอยู่ในประเภทบุคคลที่ไม่พอจะเชื่อถือได้ เพราะเรื่องที่เกี่ยวกับพระสูตร จำนวน 5 เรื่องนี้นายเกษมยกมานั้นเป็นเพียงรายละเอียดของหลักการตามพระวินัยเท่านั้น เช่น นิตยภัต ไวยาวัจกร กรณีฆราวาสขับไล่พระสงฆ์ในอดีต ทุติยปาราชิก และใครคือผู้ให้เกิดภัยพิบัติ ทั้ง 5 เรื่องนี้นอกเหนือจากเรื่องที่ร้องเรียนนั้นทั้งสิ้น เช่น กรณีพระรับเงินรับทอง เป็นกรณีที่ฆราวาสนำมาถวายเพื่อทำบุญ ซึ่งขึ้นอยู่กับฆราวาสว่าจะถวายอะไร พระสงฆ์ไม่สามารถเรียกร้องได้ ส่วนที่ทุติยปาราชิกนั้น เป็นการลักขโมยของที่มีราคา 5 มาสกขึ้นไป ถือว่าต้องอาบัติหนักเป็นปาราชิก ย่อมไม่สามารถนำมาเป็นตัวอย่างกับเรื่องรับเงินนี้ได้


3. พระวินัยเรื่องห้ามพระสงฆ์รับเงินรับทองนั้นมีอยู่จริง แต่พระพุทธเจ้าผู้ทรงทราบความจริงของโลกว่า ตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทรงรู้ว่าพระวินัยที่บัญญัติแล้วจะเป็นอุปสรรคต่อความเป็นอยู่ของสาวกในอนาคต ตอนใกล้ปรินิพพานพระองค์จึงตรัสแก่เหล่าพระสาวกว่า ต่อไปภายหน้า หากจะมีพระวินัยสิกขาบทใดเป็นอุปสรรคต่อการดำรงเพศสมณะ ก็ให้ถอนข้อนั้นได้ แต่ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ทั้งหลาย มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ในคราวสังคายนาครั้งแรกหลังพุทธปรินิพพานได้ 3 เดือน ได้มีมติร่วมกันว่า จะไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติไว้และจะไม่ถอนพระวินัยที่พระองค์ได้บัญญัติไว้แล้ว แม้รู้ว่าจะลำบากในการปฏิบัติและจำต้องทนปลงอาบัติก็ตาม ดังมีเหตุผลที่ท่านแสดงไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 7 หน้า383 ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ดังนี้
“ท่านทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบทของพวกเราที่รู้กันในหมู่คฤหัสถ์มีอยู่ แม้พวกคฤหัสถ์ก็รู้อยู่ว่า “สิ่งนี้ควรแก่พวกพระสมณะเชื้อสายศากยบุตร สิ่งนี้ไม่ควร”
ถ้าพวกเราจะถอนสิกขาบทเล็กน้อย ก็จะมีผู้กล่าวว่า “พระสมณโคดมบัญญัติสิกขาบทแก่พวกสาวกชั่วกาลแห่งควันไฟ สาวกพวกนี้ ศึกษาสิกขาบทอยู่ตลอดเวลาที่พระศาสดาของตนยังมีชีวิตอยู่ พอพระศาสดาของพวกเธอปรินิพพานไปแล้ว บัดนี้ พวกเธอก็ไม่ศึกษาสิกขาบท” ถ้าสงฆ์พร้อมกันแล้ว ก็ไม่พึงบัญญัติสิ่งที่ไม่ได้ทรงบัญญัติ ไม่พึงถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติไว้ พึงสมาทานประพฤติตามสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว ท่านรูปใดเห็นด้วยกับการไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ ไม่ถอนพระบัญญัติตามที่บัญญัติไว้ สมาทานประพฤติตามสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว ท่านรูปนั้นพึงนิ่งอยู่ ท่านรูปใดไม่เห็นด้วย ท่านรูปนั้นพึงทักท้วง (ขึ้นในท่ามกลางสงฆ์)” และก็ไม่มีรูปใดทักท้วง เป็นอันว่าทุกรูปมีความเคารพต่อพระบรมศาสดาอย่างแท้จริง จึงไม่มีการถอนแม้จนถึงปัจจุบันนี้
นอกจากนี้ ยังมีหลักมหาปเทส 4 ในการอนุญาตให้สาวกตัดสินเองว่า สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร เมื่อกาลล่วงไปในอนาคต ซึ่งการรับเงินต้องอาบัตินี้ ก็จัดอยู่ในมหาปเทสข้อ 4 ด้วย ว่าภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดเราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า “สิ่งนี้ควร” แต่ถ้าสิ่งนั้นอนุโลมเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควร ดังนี้เป็นต้น ตามพระไตรปิฎกเล่มที่ 5 หน้า 140
นี้คือมูลเหตุที่พระสงฆ์ท่านยอมต้องอาบัติ แม้จะรู้ว่าพระวินัยข้อนั้นๆ ขัดต่อยุคสมัยที่จะปฏิบัติได้แล้ว เรื่องนี้ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังอยู่นั้น เมื่อพระองค์บัญญัติพระวินัยแล้ว มีผู้มาร้องเรียน พระองค์จะทรงชี้โทษให้เห็นก่อนว่า ถ้ายังขืนปฏิบัติต่อไปจะเกิดโทษแก่สาวกอย่างไร เป็นเกิดโทษแก่พระศาสนาอย่างไร ต่อจากนั้นจึงชี้คุณในการยกเลิกสิกขาบทว่า เมื่อยกเลิกหรือบัญญัติเพิ่มเติมแล้วจะมีคุณอย่างไร จากนั้นจึงทรงบัญญัติใหม่ ซึ่งวิธีการนี้ บางสิกขาบทมีการยกเลิกและบัญญัติใหม่เพิ่มเติมภายหลังมากถึง 8 ครั้งก็มี (เช่น ข้อ 2 แห่งโภชนวรรค)

4.เรื่องโทษของการต้องอาบัตินั้น มี 3 ระดับ คือ
ระดับหนัก (ครุกาบัติ / อเตกิจฉา) มีโทษหนักถึงขาดจากความเป็นภิกษุ เช่น นายเกษม ดวงแพงมาต ผู้ที่มาร้องเรียนเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง ประเภทนี้ไม่อาจรักษาเยียวยาได้ ต้องให้สึกสถานเดียว บวชต่อไปไม่ได้
ระดับกลาง (ครุกาบัติ / สเตกิจฉา) มีโทษหนัก แต่เป็นประเภทรักษาเยียวยาให้หายได้ ระดับนี้ ต้องอยู่ปริวาสกรรมจึงจะออกจากอาบัติได้ และกลับเป็นผู้บริสุทธิ์ตามเดิม
ระดับเบา (ลหุกาบัติ) ระดับนี้มีโทษเบา เพียงยอมรับและปลงอาบัติต่อหน้าภิกษุอื่นก็พ้นอาบัติได้ และบริสุทธิ์ดังเดิมเช่นกัน
เรื่องการรับเงินที่นายเกษม ดวงแพงมาตมาร้องเรียนนี้ จัดอยู่ในระดับเบา และคฤหัสถ์ก็ทราบเรื่องนี้ดี เพราะชาวบ้านเขาเห็นว่ายุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว การดำรงเพศสมณะ ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา หากจะชี้โทษและคุณให้เห็นตามวิธีการของพระพุทธเจ้าแล้ว การไม่รับเงินต่างหากที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงอยู่แห่งพระพุทธศาสนา เพราะการเดินของพระสงฆ์ ต้องใช้เงิน ในกฎหมายของไทยนั้น กำหนดให้พระสงฆ์เสียค่าพาหนะรถยนต์โดยสารและรถไฟครึ่งราคา เพราะเห็นว่าท่านเป็นนักบวชไม่มีการประกอบอาชีพเหมือนชาวบ้าน จึงออกกฎหมายมาช่วยแบ่งเบาท่าน นอกจากนี้ การดำรงชีพทั้งหมด ทั้งในกุฏิวิหารท่านต้องเสียค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่ารักษาพยาบาล และอื่นๆ ด้วยตนเอง ถ้าไม่รับเงินจากผู้มีชาวบ้าน ผู้มาทำบุญ ท่านย่อมไม่สามารถดำรงเพศได้แน่นอน แม้แต่เรื่องของพระศาสนา เช่นการเรียนการสอนก็ต้องใช้กระดาษ ใช้เครื่องพิมพ์ไม่ต่างจากชาวโลกเลย สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นกฎอนิจจัง ความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้พระสงฆ์ต้องเปลี่ยนไปตามโลก ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว การห้ามท่านมิให้รับต่างหากที่เป็นอุปสรรคอย่างที่สุด


5. การห้ามรับเงินรับทองนั้น ถ้าจะดูถึงโทษแล้ว ย่อมมีโทษมากกว่าการรับ เพราะทำให้พระสงฆ์ไม่สามารถดำรงชีพในภาวะปัจจุบันได้ และจะเป็นมูลเหตุให้พระสงฆ์หมดไปจากโลกนี้ในเร็วขึ้น เมื่อพระสงฆ์สิ้นไป แสงสว่างแห่งธรรมย่อมดับไปด้วย ย่อมเป็นโทษแก่ชาวโลกทุกคนที่จะขาดโอกาสได้รับพระธรรมในการนำทางชีวิต ชาวบ้านจะไร้ซึ่งนาบุญของโลก เพราะไม่มีพระสงฆ์ให้ทำบุญ เมื่อไม่มีการถวายเงินทองให้พระสงฆ์ วัดวาอารามย่อมไม่สามารถเจริญพัฒนาได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ศิลปกรรมต่างๆ ของชาติย่อมไม่มีไปด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันนี้ ชาติไทยของเราเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาเที่ยวชมประเทศไทย ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวก็คือ วัดต่างๆ ประเทศไทยได้เงินเข้าประเทศกว่าปีละ 1.6 ล้านล้านบาท มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศกว่าปีละ 40 ล้านคน ก็เพราะมีวัดและศิลปะที่เกิดจากวัดเป็นแหล่งผลิตให้ทั้งสิ้น เช่น วัดพระแก้ว วัดอรุณ วัดเชตุพน วัดพระธาตุดอยสุเทพ วัดพระธาตุพนม วัดพระธาตุนครศรีธรรมราช และ วัดประจำจังหวัดต่างอื่นๆ เป็นต้น เหล่านี้ล้วนมีคุณต่อประเทศชาติ และคนไทยทุกคน ส่วนโทษต่อพระสงฆ์เองนั้นเป็นเพียงอาบัติเบาๆ ท่านสามารถปลงอาบัติได้อยู่แล้ว และเป็นอาบัติประเภทไม่มีกรรมแต่อย่างใด
ในทางกลับกัน ถ้าพิจารณาถึงคุณแล้ว ย่อมมีคุณมากกว่า เพราะเป็นคุณตรงข้ามกับโทษที่ได้แสดงมาแล้ว นอกจากนี้ ยังจะเป็นเหมือนเส้นเลือดหล่อเลี้ยงชีวิตพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวไปได้อีก ดังพุทธโอวาทตรัสแก่พระสาวกตอนส่งพระสาวกไปประกาศศาสนาใหม่ๆ ว่า จรถะ ภิกฺขเว จาริกัง พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกมฺปายะ อตฺถายะ หิตายะ สุขายะ เทวมนุสฺสานัง แปลว่า เธอทั้งหลายจงจาริกไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พหุชน เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่ออรรถประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล และเพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเถิด ในภาวะปัจจุบันนี้ เงินเป็นยิ่งกว่าปัจจัย 4 ซึ่งมีผลต่อการดำรงชีพแห่งสมณเพศไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปเลย


6.การออกคำสั่งของพ.ต.อ.วัตร์ธนา มีขำ รอง ผบก.ฯปรท.ลก.ตร. พล.ต.ต.พนมพร อิทธิประเสริฐ รอง ผบช.ฯปรท.ผบช.ภ.4 และพ.ต.อ.ชลิฏ วงษ์เจริญกิจ รอง ผบก.ฯปรท.ผบก.ภ.จว.สกลนคร (ตามเอกสารแนบมาด้วยนี้) มีโทษแก่พระสงฆ์ เป็นการเบียดเบียนพระสงฆ์ และมีผลเสียหลายอย่างดังกล่าวแล้ว ขอให้ทบทวนคำสั่งดังกล่าว
นอกจากนี้ คำสั่งดังกล่าวยังเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีกฎหมายอนุญาตให้ดำเนินการเช่นนี้ได้ จึงขอให้มีคำสั่งด่วนยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเสียโดยเร็ว ก่อนที่ผู้ใต้บังคับบัญชาจะนำไปปฏิบัติอันจะเกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง และขอให้สอบสวนเอาผิดกับผู้ที่ร้องเรียนให้ครั้งนี้ด้วย โทษฐานร้องเรียนในสิ่งที่จะนำความเสียหายมาสู่ประเทศชาติโดยรวมได้


จึงเรียนมาเพื่อทราบและหวังว่าคงได้รับการอนุเคราะห์ดำเนินการตามที่ร้องขอต่อไป


ขอแสดงความนับถือ

(ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์)
ตัวแทนกลุ่มพลังชาวพุทธ

 

 

กลุ่มพลังชาวพุทธ ส่งหนังสือถึง ผบ.ตร. ขอยกเลิกคำสั่งเรื่องพระรับเงินเป็นอาบัติ อ้างวินัยพระ พระดูแลกันเอง ตำรวจไม่มีสิทธิ์ยุ่ง

กลุ่มพลังชาวพุทธ ส่งหนังสือถึง ผบ.ตร. ขอยกเลิกคำสั่งเรื่องพระรับเงินเป็นอาบัติ อ้างวินัยพระ พระดูแลกันเอง ตำรวจไม่มีสิทธิ์ยุ่ง

กลุ่มพลังชาวพุทธ ส่งหนังสือถึง ผบ.ตร. ขอยกเลิกคำสั่งเรื่องพระรับเงินเป็นอาบัติ อ้างวินัยพระ พระดูแลกันเอง ตำรวจไม่มีสิทธิ์ยุ่ง

กลุ่มพลังชาวพุทธ ส่งหนังสือถึง ผบ.ตร. ขอยกเลิกคำสั่งเรื่องพระรับเงินเป็นอาบัติ อ้างวินัยพระ พระดูแลกันเอง ตำรวจไม่มีสิทธิ์ยุ่ง

กลุ่มพลังชาวพุทธ ส่งหนังสือถึง ผบ.ตร. ขอยกเลิกคำสั่งเรื่องพระรับเงินเป็นอาบัติ อ้างวินัยพระ พระดูแลกันเอง ตำรวจไม่มีสิทธิ์ยุ่ง