“เครียดหัวแทบระเบิด”....ทักษิณสุดอมทุกข์   ตัวเองไร้แผ่นดินอยู่ น้องสาวติดคุก แถมลูกชายจ่อถูกดำเนินคดีอีกราย  หลังดีเอสไอเตรียมออกหมายเรียก

“เครียดหัวแทบระเบิด”....ทักษิณสุดอมทุกข์ ตัวเองไร้แผ่นดินอยู่ น้องสาวติดคุก แถมลูกชายจ่อถูกดำเนินคดีอีกราย หลังดีเอสไอเตรียมออกหมายเรียก

หลังอดีตนายกฯน้องสาวอย่างน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาโทษจำคุก 5 ปี ฐานปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตโครงการจำนำข้าว

อันเนื่องมาจากการขายข้าวแบบรัฐบาลต่อรัฐบาลกับรัฐวิสาหกิจของจีน  งานนี้ข่าวว่าส่งผลทำให้อดีตนายกฯนายใหญ่อย่างนายทักษิณ ชินวัตร ที่หนีคดีหลบฉากอยู่ต่างประเทศเครียดจัดหัวแทบระเบิด  เพราะน้องสาวที่ตนเองอุตส่าห์ฝากผีฝากไข้ให้เป็นกำลังหลักเป็นผู้นำตระกูล “ชิน”  ต่อสู้การเมืองในประเทศไทยก็มาต้องคดีแถมโดนโทษติดคุกต้องหนีออกนอกประเทศไปอีกคน งานนี้ก็เลยกลายเป็นภาระหนักเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า  เพราะต้องประสานงานหาที่ทางหาแหล่งหลบภัยให้กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ในต่างแดนเพื่อไม่ให้โดนจับตัวส่งกลับไทย  

หลังรัฐบาลออกข่าวเตรียมประสานองค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ หรือ “ตำรวจสากล” ( International Criminal Police Organization : INTERPOL) ตามจับน.ส.ยิ่งลักษณ์มาดำเนินคดีในฐานะนักโทษคดีอาญาแผ่นดิน

 

 

ล่าสุดยังมีเรื่องที่ทำให้นายทักษิณเครียดจัดหนักขึ้นไปอีกถึงขั้นอมทุกข์กินไม่ได้นอนไม่หลับ   หลังมีข่าวว่าทางการเตรียมขยับดำเนินคดีกับ “ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน”  อย่าง “เสี่ยโอ๊ค” นายพานทองแท้ ชินวัตร ในข้อหาฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน คดีปล่อยกู้เงินของธนาคารกรุงไทย หลังมีชื่อได้รับ “เงินทอน” ค่าทำขวัญในการปล่อยกู้จากผู้บริหารกฤษดานครเข้าบัญชีตัวเองเป็นเงิน 10 ล้านบาท เข้าข่ายทำผิกกฎหมายว่าด้วยการฟอกเงิน

งานนี้ทางนายพานทองแท้พยายามดิ้นสู้โดยแก้ต่างเรื่องวงเงินที่ได้รับนั้นน้อยมากคือแค่ 10 ล้านบาทของวงเงินที่ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้ผู้บริหารกฤษดานคร  นอกจากนี้ยังมีคนและองค์กรอีกจำนวนมากที่ได้รับเงินทอนค่าทำขวัญจากการปล่อยกู้รอบนั้น  แต่ทำไมรัฐบาลถึงจ้องเอาผิดแค่ตนเองที่ได้รับการโอนเงินในจำนวนน้อยนิดแค่ 10 ล้านบาท  โดยล่าสุดทางอัยการและดีเอสไออยู่ระหว่างการทำเอกสารเพื่อออกหมายเรียกนายพานทองแท้ให้มารับทราบข้อกล่าวหา

 

ก่อนหน้านี้นายพานทองแท้ได้เขียนเรื่องคดีนี้ของตัวเองลงในเฟซบุ้คส่วนตัวความว่า     
“ ขณะนี้ได้มีเอกสารหลุดอีกฉบับหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องของตัวผมโดยตรง ซึ่งเป็นของอดีตรองอธิบดีดีเอสไอ ที่ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ว่าได้รับคำสั่งให้แจ้งข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดีกับพานทองแท้ ทั้งๆ ที่ตนเองได้ชี้แจงข้อเท็จจริงให้ผู้สั่งการทราบแล้วว่า ธุรกรรมของนายพานทองแท้นั้น ไม่ได้มีส่วนใดที่ผิดกฎหมาย จึงไม่สามารถแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดีได้ เป็นเหตุให้ตนเองต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งรองอธิบดีฯ ไปนั่งตบยุงที่สำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งได้บรรยายเหตุการณ์ในการสั่งการอย่างไม่ชอบธรรม โดยมีพยานยืนยันซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอเองอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย 

 

 

กระบวนการยุติธรรมของไทยเราทุกวันนี้ บิดเบี้ยวถึงขั้นจะตรวจสอบเรื่องข้าว หัวหน้าคสช.ก็สั่งการกับข้าราชการด้วยตัวเองว่า ไม่ต้องคำนึงกระบวนการยุติธรรม ใครไม่เร่งทำถือว่ามีความผิด   จะตรวจสอบคดีแบงค์กรุงไทย ซึ่งมีการกู้เงินนับหมื่นล้าน แทนที่จะไปตรวจสอบองค์กรที่ได้รับผลประโยชน์ก้อนใหญ่ หรือรายชื่อนายทหารนายตำรวจ และบุคคลองค์กรอื่นๆ อีกกว่า 300 ธุรกรรม (รวมถึงมูลนิธิรัฐบุรุษฯ และนายพลเรือคนดัง ก็มีชื่อรับโอนเงินก้อนดังกล่าวด้วย) กลับไม่สนใจจะตรวจสอบ

แต่กลับมาสั่งการกับผู้ปฏิบัติแบบเน้นๆ ให้จ้องเอาผิดกับธุรกรรมทางการเงินจำนวน 10 ล้าน ซึ่งเท่ากับ 0.1 % ของจำนวนเงินทั้งหมด เพียงเพราะว่าเป็นธุรกรรมทางการเงินของลูกอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ตัวเองตั้งธงเอาไว้แล้วว่า จะต้องยัดเยียดความผิดให้ได้  เรื่องแบบนี้ ถ้าไม่เกิดกับลูกหลานตัวเองบ้าง ผู้มีอำนาจที่สั่งการกันมาเป็นทอดๆ อาจจะยังไม่รู้สึกหรอกครับ แต่ผมเชื่อว่าสักวันหนึ่งเวรกรรมจะตามทัน ถ้าไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม ก็เชิญผู้มีอำนาจสั่งการหาเรื่องกันต่อไปเถอะครับ วันไหนกรรมตามสนองลูกหลานตัวเองบ้าง ก็ขออย่าได้โอดครวญแล้วกัน”

 

ต้องติดตามดูกันเป็นซีรี่ย์เรื่องยาวว่านายทักษิณจะหายเครียดด้วยวิธีไหน  น.ส.ยิ่งลักษณ์จะลี้ภัยต่อไปอย่างไร  และนายพานทองแท้จะต้องคดีติดคุกลัหนีไปเมืองนอก เหมือนพ่อกับน้าสาวหรือไม่  บทสรุปสุดท้ายทั้ง 3 คน จะเอาตัวรอดจากวิบากกรรมที่ตัวเองก่อขึ้นอย่างไร  และสุดท้ายปลายทางคดีของแต่ละคนจะไปสิ้นสุดตรงไหนอย่างไร ต้องตามดูกันยาวๆ  

////////////////////////////